PTT
TUF
AJ
MDX
PTL
STA
เชื่อว่านักลงทุน นักเก็งกำไร ทั้งที่เล่นสั้นและเล่นยาว
คงเคยได้ยินคำว่า Leverage หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ก็คือการ ออกแรงน้อยแต่สามารถยกของที่มีน้ำหนักมากกว่าคล้ายๆ กับเรื่องคานดีดคานงัด ที่เคยเรียนมาผ่านเมื่อสมัยนานมาแล้ว^^
แต่ถ้ามาแปลคำนี้ในด้านการลงทุนจะได้ว่า การใช้เงินลงทุนจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นเงินประกัน ในสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่า จะกี่เท่าก็ว่ากันไปตามแต่ละชนิดของตราสารที่เลือกเล่นกัน
อย่าเช่น Future ที่เทรดกันในเมืองไทย ( set50 index future or single stock future ) จะ leverage กันที่ 10 เท่า ในขณะที่ตลาด forex ตลาดที่เค้าเทรดค่าเงินกัน จะ leverage กันสูงมาก 100 – 500 เท่า
ยิ่งสูงโอกาสยิ่งมาก แต่คำว่าโอกาสมันมากับคำว่าความเสี่ยงเสมอ
ภายในไม่กี่นาที สามารถกำไรได้เป็น 100% แต่ขณะเดียวกันก็สามารถขาดทุนชนิดเงินทั้งพอร์ตหายวับไปในพริบตาก็ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งหากใครเทรดเก่งๆ คัทลอสเร็ว จะสามารถสร้างกำไรได้อย่างมหาศาลจากเงินลงทุนเริ่มต้นเพียงนิดเดียว จาก 5 หลัก กลายเป็น 7 หลัก 8 หลักก็ว่ากันไป ฮ่าๆๆๆ
แต่กว่าจะสามารถประสบความสำเร็จระดับนั้นได้ มันต้องถึงฝึกฝน เล่นจริงเจ็บจริงแต่ถ้าไม่อยากเจ็บเองก็ควรไปหาชีวประวัติของเทรดเดอร์ที่ประสบความสบเร็จอ่านมาลองศึกษาดูนะครับ ว่าเค้า
ทำยังไงถึงสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึงระดับนั้น (การอ่านเป็นขั้นแรกของการเริ่มต้นทุกอย่าง^^) นี่จะเป็นทางลัดที่จะทำให้เราไม่ต้องไปเจ็บตัวหรือขาดทุน แต่คำเตือนคำบอกของเซียนยังไงก็ไม่เท่ากับการได้ลองเองหรอกใช่มั๊ย
ดังนั้นสิ่งที่ควรทำต่อมาก็คือ การเริ่มต้นเทรดด้วยเงินน้อยๆ ก่อนนี่เป็นวิธีการแก้คันได้ดีที่สุดฮ่าๆๆ!! เผื่อว่าเวลาที่ระบบเทรด หรือเราตัดสินใจพลาดจะได้เจ็บตัวน้อยหน่อย เพราะถ้าหากเริ่มด้วยเงินก้อนใหญ่ๆ หรือเงินที่ไปกู้เค้ามาเล่น เวลาเสียมันจะเจ็บตัวหนักครับ ถึงขั้นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะโดนหุ้นเล่น ไม่ได้เล่นหุ้น ซะแล้ววว....
หนังสือที่แนะนำลองไปหา e-book อ่านกันก็เช่น
Timing The Market // Market Wizard
สู้ๆ ครับ หนทางอีกยาวไกล แต่เริ่มต้นด้วยก้าวแรก เสมอ
บทความด้านเศรษฐศาสตร์ที่น่าสนใจหลายเรื่องเลยครับลองเข้าไปอ่านดู
http://www.econ.tu.ac.th/?action=new...menu=&lang=th&
และนอกจากสัมนาดีๆ ของ S2M แล้ว
หากอยากได้ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์อย่างลึกซึ้งลองไปฟังสันมาดีฟรี ได้ที่
http://www.econ.tu.ac.th/?action=new...g=th&css=style
Chula InvestClub
ตลาดหุ้นวันแรกของปีกระต่ายย เปิดมาด้วยการเปิดกระโดดมาบวกประมาณ 10 จุดตั้งแต่เปิดตลาด
ด้วยมูลค่าการซื้อขายตลอดทั้งวันกว่า 37,000 ล้าน โดยปิดที่ 1,042.41 จุด บวกมา 9.65 จุดจากวันที่ 30 ธันวาคม
ปีที่ผ่านมานักลงทุนหลายๆ ท่านได้ผลตอบแทนจากการลงทุนและเก็งกำไรในหุ้นอย่างงดงาม บางคนได้หลายร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ปีนี้การจะทำกำไรให้ได้เยอะๆ มากเท่ากับปีที่ผ่านมาอาจไม่ง่ายนักเนื่องจากตลาดหุ้นได้ปรับขึ้นมาอย่างเร็วและแรงในปีที่ผ่านมา ปีนี้แม้วันแรกจะเปิดบวกมาได้อย่างเขียวสดงดงามแต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังให้มากก็คือ การปรับฐานใหญ่ๆ ซักครั้งนึงซึ่งนักวิเคราะห์รายคนเชื่อว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
ตลาดมันไม่เคยวิ่งม้วนเดียวจบหรอก มันต้องมีวิ่ง พัก ย่อ แล้วไปต่อ ไม่เชื่อลองไปดูกราฟดู^^ แต่คำถามที่สำคัญก็คือเราจะเชื่อนักวิเคราะห์เหล่านี้ได้แค่ไหน??
ผมว่าการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์เหล่านี้อยู่บนหลักของเหตุและผล และโอกาสของความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นซึ่งมันมีทั้งโอกาสถูกและผิด!!
หน้าที่ที่สำคัญก็คือเราจะต้องมาวิเคราะห์ต่อว่าตลาดมันจะไปต่อจริงๆ หรือไม่ นี่เป็นโอกาสเข้าซื้อรึป่าว
ถ้าเล่นยาวนี่เป็นจังหวะลงทุนมั๊ยยย?? ถ้าเล่นรอบมันจะจบรอบเมื่อไหร่?? นี่คือคำถามที่สำคัญ
ในความคิดของผมในตลาดยังมีหุ้นอีกหลายตัวเลยที่ยังปรับขึ้นมาไม่มากนักเมื่อเทียบกับดัชนีของ SET โดยรวม เลือกลงทุนเป็นตัวๆ ที่มี margin of safety สูงๆ ไว้ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ (กลุ่มพลังงาน กลุ่มเกษตร เพราะตลาดหุ้นเมืองไทยมันยังไปได้อีกไกล^^ ลองไปอ่านบทความของ pawawit stock comment ดูนะครับ ว่าเค้ามองไว้ที่เท่าไหร่)
ส่วนคนที่เล่นรอบ ข่าว กับ กราฟ เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ แต่มีสิ่งที่สำคัญมากของคนเล่นหุ้นแนวนี้ที่จะต้องทำให้ได้ก็คือ ทำตามแผนที่ตัวเองตั้งไว้ก่อนซื้อ
จะเอากำไรเท่าไหร่ จะคัทลอสที่เท่าไหร่ ถ้ายังไม่รู้สองคำตอบนี้อย่าไปเล่นแนวนี้เลยเพราะในระยะยาวแล้ว คุณอยู่ไม่รอดหรอก (ขาดทุนมานักต่อนักแล้ว ฮ่าๆๆ)
ก่อนจากกันเอากราฟของ SETถึงวันสิ้นปี เทียบกับ วอลุ่มมาให้ดู
ว่าถ้าตลาดหุ้นขึ้น แล้ววอลุ่มมันน้อยลง ในอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้น ลองไปคิดต่อนะครับ ^^
Chula InvestClub