ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยลงหนักมากๆ เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่เข้าสู่การปรับฐาน หุ้นเล็กหลายตัวที่เป็นกระแสที่คนส่วนใหญ่เล่นกัน มาวันนี้มันเริ่มออกอาการแล้วครับว่าไม่ได้ดีจริง ในขณะที่หุ้นใหญ่หลายตัวกลับแอบไต่ราคาขึ้นมาอย่างเงียบๆ เข้าสูตรเลยว่าหุ้นตัวไหนคนไม่ค่อยสนหุ้นตัสนั้นน่าเก็บจริงๆ ลองมาดูกราฟกัน ตัวไหนขึ้นจริง ตัวไหนลงจริง
PTT
TUF
AJ
MDX
PTL
STA
Like
วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554
PE หุ้นใน SET100 [28/1/2554]
มูลค่า PE ของหุ้นใน SET100 โดยเรียงอันตามมูลค่า Market Cap
ข้อมูล ณ วันที่ 28 มกราคม 2554
ข้อมูล ณ วันที่ 28 มกราคม 2554
วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554
เป็นไปได้มั๊ย ถ้าจะใช้ Leverage เพื่อลดความเสี่ยง !!!
ตลาดช่วงนี้ผันผวนจริงๆ ครับ หลายคนที่เริ่มเล่นหุ้นช่วงปีที่แล้วอาจจะยังไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่หุ้นตกแรงๆ อย่างนี้ วันเดียวตกไปสี่สิบกว่าจุดถ้าย้อนกลับไปก็นู่นนานพอสมควร เหตการณ์ที่หม่อมอู๋ยประกาศมาตราการ 30 เปอร์เซ็นต์ วันนั้นถึงขั้นกับต้องใช้มาตราการหยุดการซื้อขายซึ่งนั้นเป็นครั้งแรกที่ต้องใช้มาตราการนี้
ประเด็นที่ผมอยากจะมาเล่าให้ฟังวันนี้ก็คือ เราจะสามารถใช้ leverage ลดความเสี่ยงได้อย่างไร!!
สงสัยมั๊ยครับว่าทำไม leverage ถึงสามารถลดความเสี่ยงลงได้ มันต้องเป็นการเพิ่มระดับความเสี่ยงสิ ลองดูตัวอย่างนะครับ
เฮดจ์ฟันหลายๆ กองจะมีโมเดลในการเทรดหลากหลายโมเดล สมมติว่าโมเดลในการเทรดมีโอกาสที่จะทำกำไรได้ 4 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 6 วัน ถ้าหากเฮดจ์ฟัน เพิ่มระดับการ leverage เข้าไปอีกในสัดส่วน 1:1 จะทำให้สามารถทำกำไรได้ 4 เปอร์เซ็นต์โดยใช้เวลาลดลงครึ่งหนึ่งเหลือเพียง 3 วัน เวลาที่ลดลงไปครึ่งหนึ่งนี่เป็นการลดความเสี่ยงลงไปอย่างมหาศาลเลยนะครับ
ลองคิดดูถ้าหากคุณเปิดสัญญาซื้อหรือขายไว้ มันจะเสี่ยงขนาดไหนถ้าเกิดเราเล่นผิดทางในวันที่ตลาดขึ้นหรือลงหนักๆ เสี่ยงมากจริงๆ ครับ
สิ่งที่ต้องเข้าใจก่อนเลยก็คือ โมเดลในการเทรดจะต้องมีความถูกต้องในระดับที่สูงเพราะหากไปใช้การ leverage ในโมเดลในการเทรดที่มีความแม่นยำค่อนข้างต่ำนั้น มันจะยิ่งทำให้เสี่ยงมากยิ่งขึ้นแทน
ในขณะที่เฮดจ์ฟันใช้ leverage เพื่อทำให้ได้กำไรเร็วขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง แต่หลายคนใช้ leverage เพื่อให้ได้กำไรมากยิ่งขึ้นแล้วถือสัญญานานขึ้น ประเด็นนี้แม้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่ แต่ความจริงมันต่างกันมหาศาลเลย
ยิ่งคุณเปิดสัญญาไว้นานเท่าไหร่มันยิ่งเสี่ยง
หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจสำหรับคำว่า leverage ลองอ่านบทความนี้ดูครับ
http://www.investopedia.com/terms/l/leverage.asp
http://www.one-asset.com/amclub/FunF...il_t.asp?id=35
ประเด็นที่ผมอยากจะมาเล่าให้ฟังวันนี้ก็คือ เราจะสามารถใช้ leverage ลดความเสี่ยงได้อย่างไร!!
สงสัยมั๊ยครับว่าทำไม leverage ถึงสามารถลดความเสี่ยงลงได้ มันต้องเป็นการเพิ่มระดับความเสี่ยงสิ ลองดูตัวอย่างนะครับ
เฮดจ์ฟันหลายๆ กองจะมีโมเดลในการเทรดหลากหลายโมเดล สมมติว่าโมเดลในการเทรดมีโอกาสที่จะทำกำไรได้ 4 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 6 วัน ถ้าหากเฮดจ์ฟัน เพิ่มระดับการ leverage เข้าไปอีกในสัดส่วน 1:1 จะทำให้สามารถทำกำไรได้ 4 เปอร์เซ็นต์โดยใช้เวลาลดลงครึ่งหนึ่งเหลือเพียง 3 วัน เวลาที่ลดลงไปครึ่งหนึ่งนี่เป็นการลดความเสี่ยงลงไปอย่างมหาศาลเลยนะครับ
ลองคิดดูถ้าหากคุณเปิดสัญญาซื้อหรือขายไว้ มันจะเสี่ยงขนาดไหนถ้าเกิดเราเล่นผิดทางในวันที่ตลาดขึ้นหรือลงหนักๆ เสี่ยงมากจริงๆ ครับ
สิ่งที่ต้องเข้าใจก่อนเลยก็คือ โมเดลในการเทรดจะต้องมีความถูกต้องในระดับที่สูงเพราะหากไปใช้การ leverage ในโมเดลในการเทรดที่มีความแม่นยำค่อนข้างต่ำนั้น มันจะยิ่งทำให้เสี่ยงมากยิ่งขึ้นแทน
ในขณะที่เฮดจ์ฟันใช้ leverage เพื่อทำให้ได้กำไรเร็วขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง แต่หลายคนใช้ leverage เพื่อให้ได้กำไรมากยิ่งขึ้นแล้วถือสัญญานานขึ้น ประเด็นนี้แม้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่ แต่ความจริงมันต่างกันมหาศาลเลย
ยิ่งคุณเปิดสัญญาไว้นานเท่าไหร่มันยิ่งเสี่ยง
หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจสำหรับคำว่า leverage ลองอ่านบทความนี้ดูครับ
http://www.investopedia.com/terms/l/leverage.asp
http://www.one-asset.com/amclub/FunF...il_t.asp?id=35
วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554
ตลาดหุ้น.. เมื่อรายย่อยเสียเปรียบแล้วจะสู้ไม่ได้จริงมั๊ย??
ในตลาดหุ้นไม่ว่าคุณจะมีพอร์ตใหญ่หรือเล็ก เราก็อยู่ในสนามเดียวกัน สนามแห่งนี้เป้าหมายของทุกคนที่เข้ามาก็คือ เข้ามาเพื่อทำกำไร บางคนหวังมาก บางคนหวังน้อยก็ว่ากันไป แต่ประเด็นก็คือว่าตลาดหุ้นมันไม่ใช่สนามเด็กเล่น ในนี้มีทั้งกองทุนขนาดใหญ่ที่สามารถดันดัชนี้ขึ้นลงได้เหมือนดังใจคิด ไล่ไปถึงแมงเม่าตัวเล็กที่พร้อมที่จะบินเข้าสู้หุ้นที่เป็นกระแสอยู่ในช่วงนั้นๆ
ตามสถิติแล้วนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรรายย่อยจะมีผลตอบแทนในระยะยาวสู้กับพวกกองทุนใหญ่ๆ ไม่ได้ เพราะอะไร?? ผมว่าสิ่งที่ทำให้รายย่อยแพ้กองทุนใหญ่ก็คือแผนการเทรดที่ดี กองทุนมองภาพใหญ่แต่ในขณะเดียวกันรายย่อยมองสั้นกว่า ยิ่งเล่นสั้นความไม่แน่นอนมันยิ่งสูง เมื่อแผนไม่ดี เครื่องมือไม่พร้อม มันเป็นความเสี่ยงทั้งนั้น สรุปแล้วก็แพ้แน่นอน
แต่ยังไงก็ตามมีนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรรายย่อยจำนวนไม่น้อยก็สามารถอยู่ในตลาดได้ และบางคนก็กลายเป็นตำนานของตลาดหุ้นไปแล้ว ที่สร้างเงินจากจำนวนไม่เท่าไหร่แล้วเงินก้อนเล็กๆ ก้อนนั้นโตขึ้นเป็น 100 เท่าในเวลาเพียงไม่นาน ลองไปค้นหาประวัติอ่านดูนะครับ ทุกแนวจะมีคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสุดๆ ลองไปดูว่าเค้าทำอย่างไร เค้าคิดอย่างไร ถึงทำผลตอบแทนได้ขนาดนั้น
กลับมาที่เรื่องตลาดหุ้นเป็นสนามที่เปิดให้ผู้เล่นในทุกระดับมาแข่งขันกัน บางคนเทรดด้วยค่าคอมที่ต่ำมากซึ่งนี่ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบที่มากกว่าคนที่ต้องเสียค่าคอมมากกว่า บางคนได้เห็น bid กับ offer เร็วกว่าคนอื่นหลายวินาที นี่ก็เป็นข้อได้เปรียบอีกเช่นกัน ในขณะที่รายย่อยไม่มีข้อได้เปรียบอะไรเลย!!
เมื่อไม่มีอะไรที่ได้เปรียบแล้วเราจะชนะได้มั๊ย คำตอบก็พอมี (ใน S2M ก็มีเทรดเดอร์หลายคนที่ประสบความสำเร็จ) ก็ต้องมาเลือกเครื่องมือที่ใช้ในการใช้ตัดสินใจให้เหมาะสมกับขีดจำกัดของเรา อย่างเช่น ถ้าการเข้าออกแต่ละครั้งเสียค่าคอมจำนวนมากกว่า ก็ควรเลือกอินดิเคเตอร์และ time frame ที่เหมาะสมจะได้ไม่ทำการซื้อขายบ่อยเกินไป เพื่อลดอุปสรรคที่มีจากค่าคอมที่ต้องเสีย
ลองจินตนาการดูนะครับว่า หากคุณต้องไปแตะบอลกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด หรือ ทอเรส ในขณะที่คุณเป็นนักบอลระดับหมูบ้านโอกาสที่จะชนะมันมีเท่าไหร่ สิ่งที่สำคัญมากกว่าโอกาสในกาสชนะคือเมื่อเราแพ้แล้วเราจะพัฒนาตัวเองอย่างไรให้กลับไปสู้ได้ใหม่อีกครั้ง
ปล. สรุปแบบนี้ดูจะงงๆ ฮ่าๆ
ฝากคลิบ เดวิด สู้กับยักษ์โกไลเอท ไว้ให้ดูครับ
ตามสถิติแล้วนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรรายย่อยจะมีผลตอบแทนในระยะยาวสู้กับพวกกองทุนใหญ่ๆ ไม่ได้ เพราะอะไร?? ผมว่าสิ่งที่ทำให้รายย่อยแพ้กองทุนใหญ่ก็คือแผนการเทรดที่ดี กองทุนมองภาพใหญ่แต่ในขณะเดียวกันรายย่อยมองสั้นกว่า ยิ่งเล่นสั้นความไม่แน่นอนมันยิ่งสูง เมื่อแผนไม่ดี เครื่องมือไม่พร้อม มันเป็นความเสี่ยงทั้งนั้น สรุปแล้วก็แพ้แน่นอน
แต่ยังไงก็ตามมีนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรรายย่อยจำนวนไม่น้อยก็สามารถอยู่ในตลาดได้ และบางคนก็กลายเป็นตำนานของตลาดหุ้นไปแล้ว ที่สร้างเงินจากจำนวนไม่เท่าไหร่แล้วเงินก้อนเล็กๆ ก้อนนั้นโตขึ้นเป็น 100 เท่าในเวลาเพียงไม่นาน ลองไปค้นหาประวัติอ่านดูนะครับ ทุกแนวจะมีคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสุดๆ ลองไปดูว่าเค้าทำอย่างไร เค้าคิดอย่างไร ถึงทำผลตอบแทนได้ขนาดนั้น
กลับมาที่เรื่องตลาดหุ้นเป็นสนามที่เปิดให้ผู้เล่นในทุกระดับมาแข่งขันกัน บางคนเทรดด้วยค่าคอมที่ต่ำมากซึ่งนี่ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบที่มากกว่าคนที่ต้องเสียค่าคอมมากกว่า บางคนได้เห็น bid กับ offer เร็วกว่าคนอื่นหลายวินาที นี่ก็เป็นข้อได้เปรียบอีกเช่นกัน ในขณะที่รายย่อยไม่มีข้อได้เปรียบอะไรเลย!!
เมื่อไม่มีอะไรที่ได้เปรียบแล้วเราจะชนะได้มั๊ย คำตอบก็พอมี (ใน S2M ก็มีเทรดเดอร์หลายคนที่ประสบความสำเร็จ) ก็ต้องมาเลือกเครื่องมือที่ใช้ในการใช้ตัดสินใจให้เหมาะสมกับขีดจำกัดของเรา อย่างเช่น ถ้าการเข้าออกแต่ละครั้งเสียค่าคอมจำนวนมากกว่า ก็ควรเลือกอินดิเคเตอร์และ time frame ที่เหมาะสมจะได้ไม่ทำการซื้อขายบ่อยเกินไป เพื่อลดอุปสรรคที่มีจากค่าคอมที่ต้องเสีย
ลองจินตนาการดูนะครับว่า หากคุณต้องไปแตะบอลกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด หรือ ทอเรส ในขณะที่คุณเป็นนักบอลระดับหมูบ้านโอกาสที่จะชนะมันมีเท่าไหร่ สิ่งที่สำคัญมากกว่าโอกาสในกาสชนะคือเมื่อเราแพ้แล้วเราจะพัฒนาตัวเองอย่างไรให้กลับไปสู้ได้ใหม่อีกครั้ง
ปล. สรุปแบบนี้ดูจะงงๆ ฮ่าๆ
ฝากคลิบ เดวิด สู้กับยักษ์โกไลเอท ไว้ให้ดูครับ
วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554
ไข่แพง แล้วมันเกี่ยวอะไร??
เชื่องนี้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคหลายชนิดแพงขึ้นอย่างมาก ราคาหลายอย่างมันขึ้นเป็นเท่าตัวเช่นพวกผักผลไม้ ข้าว และที่สำคัญที่เป็นประเด็นอยู่ในตอนนี้ก็คือไข่ไก่ แม้ราคาไข่มันจะขึ้นมาไม่กี่สตางค์แต่มันสะท้อนให้เห็นว่าระดับเงินเฟ้อพื้นฐานที่ชาวบ้านต้องใช้จ่ายจริงๆ มันเฟ้อขึ้นขนาดไหน
แล้วเงินเฟ้อมันส่งผลกระทบอะไร?? เมื่อเงินมันเฟ้อขึ้นเรื่อยมูลค่าที่แท้จริงของเงินมันก็ลดลงในอัตราเร่งเช่นเดียวกัน เงินวันนี้หากเก็บไว้เฉยในอนาคตไม่ช้าไม่นานมันจะมีค่าน้อยลงอย่างแน่นอน สิ่งที่สำคัญก็คือในช่วงที่เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรงเกิดขึ้น คนที่ถือเงินสดควรจะเปลี่ยนจากเงินสดไปถือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินเฟ้อ
แล้วจะเอาเงินสดไปลงทุนอะไร??
คำถามแรกก็ต้องถามตัวเองก่อนเลยนะครับว่าคุณระความเสี่ยงได้เท่าไหร่ !! หากรับความเสี่ยงได้น้อยมาก ก็เอาเงินไปฝากธนาคารแต่จริงๆแล้วผลตอแทนจากเงินฝากธนาคารมันสู้เงินเฟ้อไม่ได้นะครับ หากรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นมาก็เอาเงินไปซื้อพันธบัตร เอาไปซื้อหุ้น หรืออะไรก็แล้วแต่ตามที่คุณมีความถนัด
ผมขอสมมติว่าทุกคนที่เข้ามาอ่านในเวบนี้รับความเสี่ยงได้ในระดับที่สามารถลงทุนในหุ้นได้นะครับ
การลงทุนหรือการเก็งกำไรในหุ้นก็มีอยู่หลายวิธี ทั้งเล่นสั้น เล่นยาว ดูกราฟ หรือวิเคราะห์พื้นฐาน
วิธีที่จะแนะนำสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นก็คือ วิเคราะห์จากพื้นฐานของเศรษฐกิจ แต่ถ้าจะเอาให้ง่ายกว่านั้นเข้าไปอีกคุณก็ซื้อตามคนที่ประสบความสำเร็จหรือที่คนทั่วๆ ไปเค้าเรียกว่าเซียน ^^ ในเวบนี้มีอยู่หลายคนและมีอยู่หลายแนว
เมื่อเลือกสไตร์การลงทุนได้แล้วก็ค่อยๆ เริ่มจากเงินก้อนเล็กๆ นะครับ อย่าไปเอาเงินก้อนใหญ่เกินตัวหรือไปกู้หรือเอาเงินส่วนที่ต้องใช้มาเล่น เพราะการลงทุนมันมีความเสี่ยงอยู่ในตัวเอง หากคุณกำไรก็โชคดีไปแต่ถ้ามันเกิดขาดทุนขึ้นมาแล้วชีวิตจะยุ่งนะ
สุดท้ายไม่มีความสำเร็จอะไรได้มาโดยง่าย แม้กำไรจะได้ง่ายในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะกระทิงแต่มันก็อาจหายไปได้เหมือนกันในช่วงเวลาที่คุณตัดสินใจผิดพลาด
ปล. มีดัชนี้อัตราเงินเดือน ธันวาคม 53 มาให้ดูครับ
แล้วเงินเฟ้อมันส่งผลกระทบอะไร?? เมื่อเงินมันเฟ้อขึ้นเรื่อยมูลค่าที่แท้จริงของเงินมันก็ลดลงในอัตราเร่งเช่นเดียวกัน เงินวันนี้หากเก็บไว้เฉยในอนาคตไม่ช้าไม่นานมันจะมีค่าน้อยลงอย่างแน่นอน สิ่งที่สำคัญก็คือในช่วงที่เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรงเกิดขึ้น คนที่ถือเงินสดควรจะเปลี่ยนจากเงินสดไปถือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินเฟ้อ
แล้วจะเอาเงินสดไปลงทุนอะไร??
คำถามแรกก็ต้องถามตัวเองก่อนเลยนะครับว่าคุณระความเสี่ยงได้เท่าไหร่ !! หากรับความเสี่ยงได้น้อยมาก ก็เอาเงินไปฝากธนาคารแต่จริงๆแล้วผลตอแทนจากเงินฝากธนาคารมันสู้เงินเฟ้อไม่ได้นะครับ หากรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นมาก็เอาเงินไปซื้อพันธบัตร เอาไปซื้อหุ้น หรืออะไรก็แล้วแต่ตามที่คุณมีความถนัด
ผมขอสมมติว่าทุกคนที่เข้ามาอ่านในเวบนี้รับความเสี่ยงได้ในระดับที่สามารถลงทุนในหุ้นได้นะครับ
การลงทุนหรือการเก็งกำไรในหุ้นก็มีอยู่หลายวิธี ทั้งเล่นสั้น เล่นยาว ดูกราฟ หรือวิเคราะห์พื้นฐาน
วิธีที่จะแนะนำสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นก็คือ วิเคราะห์จากพื้นฐานของเศรษฐกิจ แต่ถ้าจะเอาให้ง่ายกว่านั้นเข้าไปอีกคุณก็ซื้อตามคนที่ประสบความสำเร็จหรือที่คนทั่วๆ ไปเค้าเรียกว่าเซียน ^^ ในเวบนี้มีอยู่หลายคนและมีอยู่หลายแนว
เมื่อเลือกสไตร์การลงทุนได้แล้วก็ค่อยๆ เริ่มจากเงินก้อนเล็กๆ นะครับ อย่าไปเอาเงินก้อนใหญ่เกินตัวหรือไปกู้หรือเอาเงินส่วนที่ต้องใช้มาเล่น เพราะการลงทุนมันมีความเสี่ยงอยู่ในตัวเอง หากคุณกำไรก็โชคดีไปแต่ถ้ามันเกิดขาดทุนขึ้นมาแล้วชีวิตจะยุ่งนะ
สุดท้ายไม่มีความสำเร็จอะไรได้มาโดยง่าย แม้กำไรจะได้ง่ายในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะกระทิงแต่มันก็อาจหายไปได้เหมือนกันในช่วงเวลาที่คุณตัดสินใจผิดพลาด
ปล. มีดัชนี้อัตราเงินเดือน ธันวาคม 53 มาให้ดูครับ
วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554
ปรัชญาชีวิต วอร์เรน บัฟเฟตต์
ปรัชญาชีวิต วอร์เรน บัฟเฟตต์
ปรัชญาการลงทุนของนายบัฟเฟตต์ คือ
"กฎข้อที่หนึ่ง: อย่ายอมเสียเงิน และกฎข้อที่สอง: อย่าลืมกฎข้อ 1"
เป็นตัวอย่างของนักลงทุน ที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของหุ้นที่เขาลงทุน (Value Investor) โดยเฉพาะซื้อหุ้น ด้วยการมองมูลค่าในระยะยาว ซึ่งเป็นที่รู้จั...กกันดีว่าเขาจะเป็นผู้หนึ่ง ที่มีความสนใจทุนในหุ้นของบริษัทโคคา-โคลา เพราะเขาเห็นว่ามีคนบริโภคทั่วโลก
วิธีการคัดเลือกธุรกิจหรือกิจการที่ยอดเยี่ยม ของนายบัฟเฟตต์ คือ
"คุณควรลงทุนในธุรกิจ ที่แม้กระทั่งคนโง่ๆ ก็ยังบริหารมันได้ เพราะว่าสักวันหนึ่งอาจจะมีคนโง่ๆ เข้ามาบริหารธุรกิจนั้น"
และปรัชญาการลงทุนที่มีค่ายิ่งอีกประการคือ
"ไม่ว่าธุรกิจจะถูกกระทบด้วยปัจจัยหลากหลายประการที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า เดือนหน้า หรืออะไรทำนองนั้น แต่สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือคุณต้องอยู่ในธุรกิจที่ถูกต้อง"
"กฎข้อที่หนึ่ง: อย่ายอมเสียเงิน และกฎข้อที่สอง: อย่าลืมกฎข้อ 1"
เป็นตัวอย่างของนักลงทุน ที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าขอ
วิธีการคัดเลือกธุรกิจหรือก
"คุณควรลงทุนในธุรกิจ ที่แม้กระทั่งคนโง่ๆ ก็ยังบริหารมันได้ เพราะว่าสักวันหนึ่งอาจจะมี
และปรัชญาการลงทุนที่มีค่ายิ่
"ไม่ว่าธุรกิจจะถูกกระทบด้ว
กรณีตัวอย่างที่คลาสสิก คือ โคคา-โคลา ซึ่งเข้าสู่ตลาดหุ้นในปี ค.ศ.1919 ราคาตอนแรกนั้นอยู่ที่ 40 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในปีถัดมามันลดลงเหลือ 19 ดอลลาร์
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ราคาน้ำตาลได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก คุณคงจะเสียเงินไปกว่าครึ่งหนึ่งหากคุณซื้อหุ้นตอนที่มันเพิ่งเข้าสู่ตลาดแต่ถ้าหากคุณยังถือหุ้นอยู่จนถึงทุกวันนี้ และนำเงินปันผลที่ได้ไปลงทุนอย่างต่อเนื่องแล้ว มันจะมีค่าประมาณ 1.8 ล้านดอลลาร์
เราเจอสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลายครั้งภาวะสงครามหลายครั้ง มีเรื่องต่างๆ เป็นล้านเรื่องเกิดขึ้น การพิจารณาว่าสินค้าตัวนี้ดีจริงหรือไม่ และสถานะทางการเงินของบริษัทเหล่านั้น จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ จะเป็นประโยชน์กับเรา
"มากกว่าการที่เราจะมัวแต่จะคิดว่า จะกระโจนเข้าหรือกระโจนออกจากหุ้นตัวนั้น"
วอร์เรน บัฟเฟตต์
ส่องกล้องเศรษฐกิจ : ดร.อาภรณ์ ชีวะเกรียงไกร กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2550
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ราคาน้ำตาลได้เปลี่ยนแปลงไป
เราเจอสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหล
"มากกว่าการที่เราจะมัวแต่จ
วอร์เรน บัฟเฟตต์
ส่องกล้องเศรษฐกิจ : ดร.อาภรณ์ ชีวะเกรียงไกร กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2550
หุ้นจ่ายปันผลเยอะๆ ดีมั๊ย ??
เคยสงสัยมั๊ยครับ ทำไมหุ้นหลายตัวที่จ่ายปันผลสูงๆ บางตัวเป็นสิบเปอร์เซ็นต์มันไม่ค่อยมีคนสนใจเล่นเท่าไหร่???
หลักๆ เลยคือว่าบริษัทนั้นเค้ามีเงินสดเหลือมากกว่าความต้องการใช้ เมื่อไม่มีโปรเจ็คจะลงทุนหรือลงทุนไม่ได้เนื่องจากกฎหมายของรัฐมันกำหนดไว้ไม่ให้ลงทุนหรือติดข้อบังคับบางอย่าง เมื่อเงินมันไม่มีที่ไปเก็บเงินไว้เฉยๆ มันก็คงไม่เกิดประโยชน์ก็เลยปันผลคืนให้แก่ผู้ถือหุ้น
ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ เลยก็คือ แอดซ์วาน (ADVANC) บริษัทนี้มีเงินสดอยู่ในมือมากแต่ไม่สามารถลงทุนเรื่อง 3G ได้เพราะยังติดเรื่องฟ้องร้องกันวุ่นวายอยู่เมื่อลงทุนไม่ได้ก็จ่ายปันผลคืนแก่คนถือหุ้น
แต่ใช่ว่าบริษัทที่จ่ายปันผลเยอะหรือมีเงินสดเยอะๆ มันจะดีนะครับ มันอาจแปลว่า บริษัทหรือหุ้นตัวนั้นมันไม่ได้อยู่ในช่วงที่เติบโต เพราะตามปกติแล้วต้นทุนทางการเงินจากกำไรสะสมของบริษัทจะต่ำกว่าการไปกู้จากธนาคาร หรือการไปออกหุ้นเพื่อระดมทุน
บริษัทส่วนใหญ่ที่อยู่ในช่วงเติบโตที่มีโปรเจ็คหลายโปรเจ็คให้ลงทุนก็จะเอาเงินจากกำไรสะสมไปลงทุนต่อ(reinvest) ทำให้สามารถจ่ายปันผลได้น้อย แต่ผลตอบแทนโดยรวมแล้วบริษัทกำไรมากกว่าการไปกู้เงินเพื่อมาลงทุน^^ (firm maximize value)
ส่วนพวกที่จ่ายปันผลเยอะๆ เราก็ต้องวิเคราะห์ต่อว่า บริษัทหรือหุ้นตัวนั้นมีโอกาสโตได้อีกเท่าไหร่ มีโปรเจ็คอะไรให้ลงทุนบ้างในอนาคตเพราะการลงทุนเราซื้ออนาคตของหุ้นตัวนั้น
กลับมาที่ ADVANC กันอีกรอบหากฟ้องร้องกันเรื่อง 3G กันเรียบร้อย เงินสดที่มีอยู่ในมือของเอไอเอสก็พร้อมจะเอาไปลงทุนเพื่อให้ได้กำไรเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
ราคามันก็คงจะขึ้นใช่มั๊ยยย?? ฝากไปคิดต่อ..
ปล.ถ้าเอาเรื่องที่พูดกันว่าเวลาที่ไม่ค่อยมีคนสนใจหรือเวลาที่หุ้นเจอข่าวร้ายหนักๆ ให้ซื้อหุ้น เอไอเอสอาจตอบโจทย์ก็ได้นะครับ
วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554
แนะนำเว็บไซต์ ฟังธรรม.com
เพราะการลงทุนเป็นเรื่องของสภาพจิตใจใครจิตใจมั่นคงกว่า นิ่งกว่ารับรองผลตอบแทนจะดีกว่าอย่างแน่นอน วันนี้ผมขอแนะนำเว็บไซต์ ฟังธรรม.com เว็บนี้มีคลิบเสียงของเท่า ว.วชิรเมธี อยู่หลายตอนน่าสนใจครับ
วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554
วิกฤตเศรษฐกิจเกิดมาจากอะไร ??
คุณรู้มั๊ยย ว่าวิกฤตเศรษฐกิจของโลกเราแต่ละครั้งมันเกิดได้ยังไง
สิ่งที่มันทำให้เกิดมันปัญหาอย่างรวดเร็วและร้ายแรง มันก็คือ ความโลกหรือความไม่พอของมนุษย์เรานี่แหละ
เริ่มจากวิกฤตต้มยำกุ้ง(เน่า) เมื่อปี 2540 ตอนนั้นเมืองไทยดอกเบี้ยเงินกู้สูงมากทำให้บริษัทเอกชนต้องไปกู้เงินจากต่างประเทศซึ่งดอกเบี้ยต่ำกว่ากันอย่างมหาศาลเพื่อมาลงทุน ช่วงก่อนหน้าที่จะเกิดปัญหาเศรษฐกิจไทยบูมมาก ทำอะไรก็รุ่ง เล่นหุ้นซื้อแปปเดียวก็ได้กำไร ที่ดินราคาสูงปรี๊ดดด เมื่อราคาหุ้นกับพื้นฐานมันต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คนมันโลภยากได้มาก แล้วยิ่งมีตัวเร่งปฏิกริยาที่ทำให้ตลาดหุ้นมันพังด้วยกองทุนเฮดจ์ฟันจากทั่วโลก ที่นำโดยจอร์ส โซรอส ด้วยแล้วตลาดหุ้นเมืองไทยถึงได้ร่วงจาก 1800 จุดจนเกือบติดดิน ลงแรงเร็วมาก!!
วิกฤษเศรษฐกิจต่อมาคราวนี้ไม่ได้เกิดที่เมืองไทย แต่ไปเกิดที่ประเทศที่มีคนได้รับรางวัลโนเบลสาขา เศรษฐศาสตร์มากที่สุดในโลก ไม่ใช่ประเทศไหนหรอก ก็เมืองลุงแซมประเทศสหรัฐอเมริกานั่นเอง
ควาวนี้ปัญหามันก็เกิดจากความไม่พอของมนุษย์อีกเช่นกัน คนอเมริกาใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยและฟุ้งเฟ้อและมีการก่อหนี้ค่อนข้างมากต่อหนึ่งครอบครัว ทั้งทีวี มือถือ รถยนต์ ... อื่นๆ อีกมากมาย แต่หนี้ก้อนที่สำคัญที่สุดมาจากหนี้จากที่อยู่อาศัย คนอเมริกาตอนนั้นคิดว่าบ้านเป็นการลงทุนที่ดีมาก ก็เลยกู้เงินมาซื้อบ้านเพื่อลงทุนกันยกใหญ่(นี่อาจมาจากแนวคิดของหนังสือพ่อรวยสอนลูก rich dad poor dad รึป่าว) เมื่อดีมานในบ้านมันเยอะราคาบ้านมันแพง แพงขึ้นเรื่อยๆ มันก็กลายเป็นบัฟเบิล และคราวนี้ก็มีตัวเร่งให้มันแตกอย่างเร็วและแรงอีกเช่นเคย ครั้งมีเป็น วาณิชธนกิจ( Investment banker)ยักษ์ใหญ่ เช่น โกลแมน แซค เลแมนบราเตอร์ และก็ IB จากแบงค์ใหญ่ทั่วโลก
ปัญหาเกิดจากยังไงก็ลองไปหาบทความอ่านต่อนะครับถ้าสนใจ เพราะเราจะได้ไม่ก้าวผิดพลาดเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ประวัติศาสตร์จะได้ไม่เกิดขึ้นซ้ำลอย^^
มาถึงปัจจุบัน คำถามที่สำคัญมากๆ ก็คือ เราอยู่ในช่วงที่กำลังจะเกิดวิกฤตรึป่าว ???
ในความคิดผม ผมว่ายังแต่ก็อีกไม่ไกลถ้าขดมาตรการดูแลอย่างดี ตอนนี้ตลาดหุ้นเมืองไทยขึ้นมาเยอะมากจากฐานตอนช่วงปี 2008-2009 และใช้เวลาเร็วมากในการไต่จากช่วง 500 จุดมากกว่า 1000 จุด และพอเวลาที่อะไรมันเกิดความไม่สมดุลมากๆ เวลาที่มันปรับเข้าสู่จุดสมดุลจะก็เลยจะต้องปรับแรง
ราคาหุ้นไทยเมื่อ เทียบเป็น PE เท่ากับ 15 เท่าถือว่าสูงมาก แต่นี่มันเป็นการใช้ earning ของปีที่ผ่านมาคิดนะครับ ถ้าปีนี้หรือในอนาคต earning เพิ่มขึ้น PE ลดลง หุ้นไทยก็ไปต่อได้อย่างแน่นอน
แล้วยิ่งสัปดาห์ก่อนนายกรณ์ออก มาแสดงความมั่นใจว่าหุ้น ไทยจะไปไกลกว่า 1700 จุด ก็มีโอกาสเป็นไปได้นะครับ (แต่ในความคิดผม อีกนาน) อาจเป็นการล่อพี่แมงเม่าเข้ากองไปก็ได้ ฮ่าๆๆ
ฝากไปคิดต่อนะครับ ถ้าหุ้นไทยมันจะไปต่อ จะต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง !!!
เล่นแนวไหนดีสุด สั้น ยาว
คำถามหนึ่งที่ได้ยินบ่อยมากๆเกือบทุกงานสัมนาก็คือ การลงทุนวิธีไหนมันดีที่สุดค่ะ
ผมอยากตอบว่าการลงทุนในตลาดหุ้นมันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว จะสั้นจะยาวคุณเลือกเอง วิธีไหน สูตรไหน คุณก็เลือกเอง
ไม่มีใครเอาปืนไปจ่อให้คุณซื้อหรือขายเราเท่านั้นที่เป็นคนตัดสินใจ จากสถิติแล้วคนที่ถือหุ้นแบบลงทุนจะมีผลตอบแทนในระยะยาวสูงกว่าคนที่ถือหุ้นระยะสั้นหรือที่เรียกว่าเก็งกำไร แต่ในตลาดหุ้นก็มีนักเก็งกำไรจำนวนมากมายที่เล่นได้กำไรมหาศาล ทั้งจากวิธีเทคนิคัลกับวิธีที่เล่นตามข่าว
ทำไมพวกนักเก็งกำไรส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ สาเหตุหลักมาจากจิตใจที่อ่อนไหวไปตามราคา เมื่อราคาตกถึงจัดที่ต้องทำการคัทลอสก็ไม่กล้าคัท ยิ่งช้ายิ่งไม่กล้าทำให้ท้ายที่สุดก็ต้องจำใจถือหุ้นเพื่อกินปันผลจำนวนเท่าขี้มด^^ ในขณะที่ตอนหุ้นมันขึ้นไม่กล้าปล่อยให้กำไรมันวิ่ง(let profit run) กำไรนิดเดียวก็ขายซะงั้น แล้วมันจะรวยได้ยังไงเมื่อยังไม่กล้าถือหุ้นรอกินกำไร คำหย่ายยยยๆๆ
แต่กลุ่มพวกที่ประสำความสำเร็จก่อนที่จะซื้อหุ้น เค้ารู้แล้วว่าจะขายที่เท่าไหร่???
ก่อนเข้าจะให้มาขายบ้าป่ะเนี่ยยยย จิงงงง ก่อนซื้อต้องประมาณราคาที่จะต้องขายให้ได้ไม่งั้นตาย ถ้าจะเล่นสั้น พวกนี้จะรู้ว่าจะคัทลอสที่เท่าไหร่แล้วจะเอากำไรเท่าไหร่สำหรับแต่ละรอบไม่โลภ สำคัญญมากกก
อีกแนวคือถือยาว หรือ ซื้อตามพื้นฐานของกิจการ
แนวนี้จะรวยได้ต้องนิ่งจริงๆ แนะนำซื้อแล้วอย่าไปดูราคาบ่อยเพราะใจมันมักจะเต้นไปตามราคา แนวนี้จะเลือกหุ้นจากกิจการที่แข็งแกร่ง ปันผลงาม โอกาสโตสูง แล้วก็อดทนรอ รอจนมูลค่าของกิจการมันสะท้อนราคาจริงๆ ที่มันควรจะเป็น การจะเป็นเซียนหุ้นพื้นฐานได้มันต้องมาจากวิสัยทัศจริงๆ เพราะใครมันจะไปคาดการณ์ว่าอีกห้าปี สิบปี มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ใครวิเคราะห์ถูกนี่รวยโคตรรๆ
ยิ่งสมัยนี้มีเครื่องมือทางการเงินมากมายที่ช่วย leverage ทำให้เราสามารถใช้เงินน้อยแต่ได้กำไรเพิ่มมากขึ้นได้ แค่คิดถูกโอกาสเป็นเศรษฐีมันก็มีเช่นกัน คนที่เริ่มมาจากศูนย์หรือติดลบ ก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ เพราะยุคนี้แต้มต่อในชีวิตมันไม่ห่างกันเท่าไหร่ หากรู้ว่าเครื่องมืออะไรมันทำให้เราใช้เวลาน้อยลงแต่ไปถึงเป้าหมายเร็วขึ้น
ผมอยากตอบว่าการลงทุนในตลาดหุ้นมันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว จะสั้นจะยาวคุณเลือกเอง วิธีไหน สูตรไหน คุณก็เลือกเอง
ไม่มีใครเอาปืนไปจ่อให้คุณซื้อหรือขายเราเท่านั้นที่เป็นคนตัดสินใจ จากสถิติแล้วคนที่ถือหุ้นแบบลงทุนจะมีผลตอบแทนในระยะยาวสูงกว่าคนที่ถือหุ้นระยะสั้นหรือที่เรียกว่าเก็งกำไร แต่ในตลาดหุ้นก็มีนักเก็งกำไรจำนวนมากมายที่เล่นได้กำไรมหาศาล ทั้งจากวิธีเทคนิคัลกับวิธีที่เล่นตามข่าว
ทำไมพวกนักเก็งกำไรส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ สาเหตุหลักมาจากจิตใจที่อ่อนไหวไปตามราคา เมื่อราคาตกถึงจัดที่ต้องทำการคัทลอสก็ไม่กล้าคัท ยิ่งช้ายิ่งไม่กล้าทำให้ท้ายที่สุดก็ต้องจำใจถือหุ้นเพื่อกินปันผลจำนวนเท่าขี้มด^^ ในขณะที่ตอนหุ้นมันขึ้นไม่กล้าปล่อยให้กำไรมันวิ่ง(let profit run) กำไรนิดเดียวก็ขายซะงั้น แล้วมันจะรวยได้ยังไงเมื่อยังไม่กล้าถือหุ้นรอกินกำไร คำหย่ายยยยๆๆ
แต่กลุ่มพวกที่ประสำความสำเร็จก่อนที่จะซื้อหุ้น เค้ารู้แล้วว่าจะขายที่เท่าไหร่???
ก่อนเข้าจะให้มาขายบ้าป่ะเนี่ยยยย จิงงงง ก่อนซื้อต้องประมาณราคาที่จะต้องขายให้ได้ไม่งั้นตาย ถ้าจะเล่นสั้น พวกนี้จะรู้ว่าจะคัทลอสที่เท่าไหร่แล้วจะเอากำไรเท่าไหร่สำหรับแต่ละรอบไม่โลภ สำคัญญมากกก
อีกแนวคือถือยาว หรือ ซื้อตามพื้นฐานของกิจการ
แนวนี้จะรวยได้ต้องนิ่งจริงๆ แนะนำซื้อแล้วอย่าไปดูราคาบ่อยเพราะใจมันมักจะเต้นไปตามราคา แนวนี้จะเลือกหุ้นจากกิจการที่แข็งแกร่ง ปันผลงาม โอกาสโตสูง แล้วก็อดทนรอ รอจนมูลค่าของกิจการมันสะท้อนราคาจริงๆ ที่มันควรจะเป็น การจะเป็นเซียนหุ้นพื้นฐานได้มันต้องมาจากวิสัยทัศจริงๆ เพราะใครมันจะไปคาดการณ์ว่าอีกห้าปี สิบปี มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ใครวิเคราะห์ถูกนี่รวยโคตรรๆ
ยิ่งสมัยนี้มีเครื่องมือทางการเงินมากมายที่ช่วย leverage ทำให้เราสามารถใช้เงินน้อยแต่ได้กำไรเพิ่มมากขึ้นได้ แค่คิดถูกโอกาสเป็นเศรษฐีมันก็มีเช่นกัน คนที่เริ่มมาจากศูนย์หรือติดลบ ก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ เพราะยุคนี้แต้มต่อในชีวิตมันไม่ห่างกันเท่าไหร่ หากรู้ว่าเครื่องมืออะไรมันทำให้เราใช้เวลาน้อยลงแต่ไปถึงเป้าหมายเร็วขึ้น
วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554
ปัญหาตัวแทน (agency problem)
นักลงทุนทั่วไปอย่างพวกเรา ผลตอบแทนที่จะได้มาจากสองทางก็คือ ส่วนต่างของราคา (capital gain) กับปันผล(dividend) ในขณะที่ผู้บริหารของบริษัทที่บริษัทจ้างมาทำงานจะได้ค่าจ้างเป็นเงินเดือนซึ่งมันเป็นต้นทุนของผู้ถือหุ้น ยิ่งเงินเดือนพนักงานแพง นักลงทนยิ่งเสียผลประโยชน์ แต่ถ้าเราจ่ายเงินเดือนของพนักงานและผู้บริหารน้อยใครมันจะอยากมาทำงานกับบริษัทที่เราไปลงทุน ไปถือหุ้นจริงมั๊ยครับบบ ซึ่งปัญหานี้เองที่เราเรียกว่า ปัญหาจากตัวแทน ( agency problem)
การจะแก้ปัญหานี้ได้ดีที่สุดก็จะต้องทำให้มูลค่าของบริษัทมีมูลค่าสูงสุด( Maximize firm value) แล้วจะทำได้ยังไง???
ขั้นแรกก็คือ ผู้ถือหุ้นของบริษัทจะต้องเลือกบอร์ดเพื่อให้บอร์ดไปทำหน้าที่เลือกและตรวจสอบฝ่ายบริหารและพนักงานของบริษัท ยิ่งถ้าได้ฝ่ายตรวจสอบที่เก่งเท่าไหร่บริษัทยิ่งมีประสิทธิภาพสูงเท่านั้น
ขั้นต่อมา เมื่อผลงานของบริษัทมันดี ท้ายที่สุดแล้วยังไงตลาดหุ้นก็จะสะท้อนราคาที่บริษัทควรจะเป็นผ่านราคาที่ซื้อขายกันผ่านตลาดหลักทรัพย์(SET)
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเงินปันผลเยอะๆ ก็ควรจะเลือกกิจการที่มั่นคง อย่างเช่นพวก ธนาคาร พลังงานที่เป็นบริษัทใหญ่ๆ พวกนี้จ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอและจำนวนก็เยอะกว่าเงินฝากพอสมควร และก็ยังโตไปได้เรื่อยตามขนาดของเศรษฐกิจที่โตขึ้นทุกปี
สำหรับคนที่อยากได้ส่วนต่างของราคาเยอะๆ นั้น ก็ให้ไปหาบริษัทที่มาเก็ตแคป ขนาดกลางหรือเล็กที่มีศักยภาพในการโตเติบของบริษัทสูง ถ้าเทียบเป็นคนก็ให้ไปเลือกหุ้นที่กำลังอยู่ในช่วงที่เป็นวัยรุ่น หุ้นพวกนี้มีอยู่ไม่น้อยในตลาดเมืองไทยแต่คนเล่นหุ้นไม่ค่อยรู้จักกันเท่านั้นเอง
ลองไปหาดูครับ ยิ่งคนไม่รู้จักหุ้นที่เราซื้อมันยิ่งเป็นโอกาสจริงๆ
วิเคราะห์ มองอนาคตให้ออก แล้วจัดไป
แล้วก็นั่งรอเพียงเวลา หุ้นมันระเบิด ระเพียงเวลาที่ตลาดรับรู้มูลค่าที่แท้จริงก็เท่านั้น
ประเด็นที่สำคัญคือ เราหามันเจอรึป่าว แล้วเรารอมันระเบิดได้มั๊ยแค่นั้นเอง ฮาๆๆๆๆ
การจะแก้ปัญหานี้ได้ดีที่สุดก็จะต้องทำให้มูลค่าของบริษัทมีมูลค่าสูงสุด( Maximize firm value) แล้วจะทำได้ยังไง???
ขั้นแรกก็คือ ผู้ถือหุ้นของบริษัทจะต้องเลือกบอร์ดเพื่อให้บอร์ดไปทำหน้าที่เลือกและตรวจสอบฝ่ายบริหารและพนักงานของบริษัท ยิ่งถ้าได้ฝ่ายตรวจสอบที่เก่งเท่าไหร่บริษัทยิ่งมีประสิทธิภาพสูงเท่านั้น
ขั้นต่อมา เมื่อผลงานของบริษัทมันดี ท้ายที่สุดแล้วยังไงตลาดหุ้นก็จะสะท้อนราคาที่บริษัทควรจะเป็นผ่านราคาที่ซื้อขายกันผ่านตลาดหลักทรัพย์(SET)
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเงินปันผลเยอะๆ ก็ควรจะเลือกกิจการที่มั่นคง อย่างเช่นพวก ธนาคาร พลังงานที่เป็นบริษัทใหญ่ๆ พวกนี้จ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอและจำนวนก็เยอะกว่าเงินฝากพอสมควร และก็ยังโตไปได้เรื่อยตามขนาดของเศรษฐกิจที่โตขึ้นทุกปี
สำหรับคนที่อยากได้ส่วนต่างของราคาเยอะๆ นั้น ก็ให้ไปหาบริษัทที่มาเก็ตแคป ขนาดกลางหรือเล็กที่มีศักยภาพในการโตเติบของบริษัทสูง ถ้าเทียบเป็นคนก็ให้ไปเลือกหุ้นที่กำลังอยู่ในช่วงที่เป็นวัยรุ่น หุ้นพวกนี้มีอยู่ไม่น้อยในตลาดเมืองไทยแต่คนเล่นหุ้นไม่ค่อยรู้จักกันเท่านั้นเอง
ลองไปหาดูครับ ยิ่งคนไม่รู้จักหุ้นที่เราซื้อมันยิ่งเป็นโอกาสจริงๆ
วิเคราะห์ มองอนาคตให้ออก แล้วจัดไป
แล้วก็นั่งรอเพียงเวลา หุ้นมันระเบิด ระเพียงเวลาที่ตลาดรับรู้มูลค่าที่แท้จริงก็เท่านั้น
ประเด็นที่สำคัญคือ เราหามันเจอรึป่าว แล้วเรารอมันระเบิดได้มั๊ยแค่นั้นเอง ฮาๆๆๆๆ
วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554
จอร์นแนช(John Forbes Nash, Jr.)
มารู้จักกับ จอร์นแนช(John Forbes Nash, Jr.) ชายคนนี้เป็นคนคิด Game Theory ซึ่งทฤษฏีได้รับรางวัลโนเบลในปี 1994 ในสาขาเศรษฐศาสตร์
ประวัติชีวิตของ จอร์นแนช น่าสนใจมั่กๆ จนฮอลลีวูดเอาไปทำเป็นหนังชื่อเรื่องว่า A Beautiful Mind
จอร์นแนช เกิดปี 1928 ในครอบครัวที่พ่อเป็นวิศวกรไฟฟ้าส่วนแม่เป็นครูซึ่งครอบครัวของแนชได้สนับสนุนให้ลูกได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่ เนื่องจากความสามารถและการสนับสนุนของครอบครัวทำให้แนชได้รับทุนการศึกษาที่ Carnegie Mellon University โดยสามารถจบปริญาโทได้ภายในเวลาเพียงสามปี
หลังจากเรียนจบอาจารย์ที่ปรึกษาของแนชได้เขียนจดหมายแนะนำตัวให้แก่แนช(เพื่อสมัครเรียนต่อ)ซึ่งในจดหมาย อาจารย์ที่ปรึกษาของแนชได้เขียนประโยคหนึ่งว่า “This man is a genius” ทำให้แนชได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนจากมหาวิยาลัยฮาวาร์ดแต่เขาเลือกไปเรียนที่มหาวิทยาลัยพรินตัน(Princeton) เพราะมหาวิทยาลัยพรินตันเสนอให้เขาได้รับทุนของ John S. Kenedy fellowship
แนชสำเร็จการศึกษาระดับดอกเตอร์ในปี 1950 โดยได้เสนอวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับดุลยภาพโดยภายหลังได้ถูกตั้งชื่อว่า Nash Equilibrium ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Game Theory
ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/John_Forbes_Nash,_Jr.
http://en.wikipedia.org/wiki/Nash_equilibrium
ตัวอย่างภาพยนต์เรื่อง A Beautiful Mind
ประวัติชีวิตของ จอร์นแนช น่าสนใจมั่กๆ จนฮอลลีวูดเอาไปทำเป็นหนังชื่อเรื่องว่า A Beautiful Mind
จอร์นแนช เกิดปี 1928 ในครอบครัวที่พ่อเป็นวิศวกรไฟฟ้าส่วนแม่เป็นครูซึ่งครอบครัวของแนชได้สนับสนุนให้ลูกได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่ เนื่องจากความสามารถและการสนับสนุนของครอบครัวทำให้แนชได้รับทุนการศึกษาที่ Carnegie Mellon University โดยสามารถจบปริญาโทได้ภายในเวลาเพียงสามปี
หลังจากเรียนจบอาจารย์ที่ปรึกษาของแนชได้เขียนจดหมายแนะนำตัวให้แก่แนช(เพื่อสมัครเรียนต่อ)ซึ่งในจดหมาย อาจารย์ที่ปรึกษาของแนชได้เขียนประโยคหนึ่งว่า “This man is a genius” ทำให้แนชได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนจากมหาวิยาลัยฮาวาร์ดแต่เขาเลือกไปเรียนที่มหาวิทยาลัยพรินตัน(Princeton) เพราะมหาวิทยาลัยพรินตันเสนอให้เขาได้รับทุนของ John S. Kenedy fellowship
แนชสำเร็จการศึกษาระดับดอกเตอร์ในปี 1950 โดยได้เสนอวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับดุลยภาพโดยภายหลังได้ถูกตั้งชื่อว่า Nash Equilibrium ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Game Theory
ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/John_Forbes_Nash,_Jr.
http://en.wikipedia.org/wiki/Nash_equilibrium
ตัวอย่างภาพยนต์เรื่อง A Beautiful Mind
วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554
ราคากับเหตุผล จะเชื่ออะไร
วันนี้หุ้นไทยเลือดสาดด เพราะพี่หรั่งพร้อมใจกันทิ้งหุ้นไทยปิดตลาดลดลงเกือบยี่สิบจุด ประเด็นหลักที่ทำให้ตลาดลงแรงขนาดนี้มาจากอัตราแลกเปลี่ยน เงินดอลล่ากับเงินบาท เมื่อดอลล่าแข็งขึ้นจะเกิดอะไร???
เงินดอลล่าแข็งในทางกลับกันเงินบาทอ่อน เมื่อเงินบาทอ่อนก็สามารถไปแลกกลับไปเป็นดอลล่าก็ได้น้อยลง เนื่องจากฝรั่งเอาเงินดอลล่ามาแลกเป็นเงินบาทแล้วเอามาซื้อหุ้นกำไรที่จะได้ก็มาจากส่วนต่างราคา(capital gain) ของราคาหุ้นตอนซื้อกับตอนขาย กำไรที่จะได้อีกส่วนมาจาก อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทไทยกลับไปเป็นดอลล่า
ช่วงนี้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ทำให้กำไรที่นักลงทุนต่างชาติจะได้รับน้อยลงจึงเกิดการเทขายอย่างหนักในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา
นี่เป็นการวิเคราะห์ในระบบเหตุผล
ลองมาวิเคราะห์ตามระบบที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์แห่งความจริงกัน
วอเร็ บัฟเฟตต เคยพูดไว้ว่า จงกลัวในเวลาที่คนส่วนใหญ่กล้าและจงกล้าหาญในเวลาที่คนส่วนใหญกลัว ทำไมถึงต้องคิดอย่างนี้??
เพราะเวลาคนอื่นไม่กล้าซื้อหุ้น หุ้นมันจะราคาตกเพราะจากความกลัวว่าอนาคตจะไม่ดี หุ้นต้องแย่แน่นอนเวลาอย่างนี้เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดที่จะซื้อ เพราะหุ้รมาถูกมั่กกๆๆ กลับกันถ้าทุกคนมองตลาดดีมากก หุ้นมันขึ้นแน่นอน แต่มันจะขึ้นเพื่อไประเบิดแล้วตกอย่างรุนแรง (ลองนึกภาพฟองสบู่ลอยขึ้นไปแล้วแตก โป๊ะ)
เข้าเรื่อง ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์แห่งความจริงกัน แนวคิดนี้กล่าวไว้ว่า นักลงทุนส่วนใหญ่จะคิดและวิเคราะห์หุ้นในระบบเหตุผลคือจะใช้เหตุผลมาอธิบายราคา ว่าราคาหุ้นตกเพราะอะไร นู่น นี่ ยังไงก็ว่ากันไป แต่ผลตอบแทนรวมของนักลงทุนส่วนใหญ่นั้นแพ้ตลาด^^ จึงเกิดคำถามว่าคิดแบบเหตุผลมันถูกต้องมั๊ย!!!
จึงมีการวิเคราะห์และสรุปออกมาได้ว่า เมื่อคนส่วนใหญ่ซื้อและขายหุ้นตามข่าวที่ได้รับ และจะยิ่งซื้อหุ้นเมื่อมีข่าวดีแบบสุดๆ และจะยิ่งขายหุ้นเมื่อมีข่าวร้ายแบบสุดเช่นกัน ดังนั้นเวลาที่ควรจะเข้าไปเก็บหุ้นก็คือช่วงที่มีข่าวร้ายแบบสุดๆ นั่นเอง ทำไม?? ก็เพราะตอนนี้ราคามันเกือบจะเข้าสู่จุดต่ำสุดแล้วนั่นเอง
กลับกันให้ไปขายหุ้นตอนที่มีข่าวดีแบบสุดๆ เพราะไม่มีระบบเศรษฐกิจใดในโลกที่จะเติบโตได้อย่างสุดยอดอย่างต่อเนื่อง มันจะมีรอบของการเติบโตของเศรษฐกิจ ขึ้น ลง ขึ้นมาก ลงมาก
ถ้าถามว่าช่วงนี้ตลาดมีแต่ข่าวร้ายใช่มั๊ย ก็ยังไม่ขึ้นขั้นนั้นตลาดตอนนี้มีทั้งข่าวร้ายและข่าวดี แต่ไปทางข่าวไม่ดีซะมากกว่าหุ้นมันก็เลยลง
การจะวัดระดับว่าช่วงไหนเป็นช่วงข่าวร้าย ข่าวดีก็ขึ้นอยู่กับประสบการของแต่ละคน
ยิ่งอยู่ในตลาดนานยิ่งได้เปรียบ ยิ่งทุกวันนี้มีอุปกรณ์การสื่อสารที่ทันสมัยตามข่าว เช็คราคายิ่งง่าย
สู้้ต่อไป ทาเคชิ ฮ่าๆ
ลองฟังแนวคิด จากคนที่ประสบความสำเร็จจากวิธีนี้ครับ คุณพิชัย จาวลา
Chula InvestClub
เงินดอลล่าแข็งในทางกลับกันเงินบาทอ่อน เมื่อเงินบาทอ่อนก็สามารถไปแลกกลับไปเป็นดอลล่าก็ได้น้อยลง เนื่องจากฝรั่งเอาเงินดอลล่ามาแลกเป็นเงินบาทแล้วเอามาซื้อหุ้นกำไรที่จะได้ก็มาจากส่วนต่างราคา(capital gain) ของราคาหุ้นตอนซื้อกับตอนขาย กำไรที่จะได้อีกส่วนมาจาก อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทไทยกลับไปเป็นดอลล่า
ช่วงนี้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ทำให้กำไรที่นักลงทุนต่างชาติจะได้รับน้อยลงจึงเกิดการเทขายอย่างหนักในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา
นี่เป็นการวิเคราะห์ในระบบเหตุผล
ลองมาวิเคราะห์ตามระบบที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์แห่งความจริงกัน
วอเร็ บัฟเฟตต เคยพูดไว้ว่า จงกลัวในเวลาที่คนส่วนใหญ่กล้าและจงกล้าหาญในเวลาที่คนส่วนใหญกลัว ทำไมถึงต้องคิดอย่างนี้??
เพราะเวลาคนอื่นไม่กล้าซื้อหุ้น หุ้นมันจะราคาตกเพราะจากความกลัวว่าอนาคตจะไม่ดี หุ้นต้องแย่แน่นอนเวลาอย่างนี้เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดที่จะซื้อ เพราะหุ้รมาถูกมั่กกๆๆ กลับกันถ้าทุกคนมองตลาดดีมากก หุ้นมันขึ้นแน่นอน แต่มันจะขึ้นเพื่อไประเบิดแล้วตกอย่างรุนแรง (ลองนึกภาพฟองสบู่ลอยขึ้นไปแล้วแตก โป๊ะ)
เข้าเรื่อง ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์แห่งความจริงกัน แนวคิดนี้กล่าวไว้ว่า นักลงทุนส่วนใหญ่จะคิดและวิเคราะห์หุ้นในระบบเหตุผลคือจะใช้เหตุผลมาอธิบายราคา ว่าราคาหุ้นตกเพราะอะไร นู่น นี่ ยังไงก็ว่ากันไป แต่ผลตอบแทนรวมของนักลงทุนส่วนใหญ่นั้นแพ้ตลาด^^ จึงเกิดคำถามว่าคิดแบบเหตุผลมันถูกต้องมั๊ย!!!
จึงมีการวิเคราะห์และสรุปออกมาได้ว่า เมื่อคนส่วนใหญ่ซื้อและขายหุ้นตามข่าวที่ได้รับ และจะยิ่งซื้อหุ้นเมื่อมีข่าวดีแบบสุดๆ และจะยิ่งขายหุ้นเมื่อมีข่าวร้ายแบบสุดเช่นกัน ดังนั้นเวลาที่ควรจะเข้าไปเก็บหุ้นก็คือช่วงที่มีข่าวร้ายแบบสุดๆ นั่นเอง ทำไม?? ก็เพราะตอนนี้ราคามันเกือบจะเข้าสู่จุดต่ำสุดแล้วนั่นเอง
กลับกันให้ไปขายหุ้นตอนที่มีข่าวดีแบบสุดๆ เพราะไม่มีระบบเศรษฐกิจใดในโลกที่จะเติบโตได้อย่างสุดยอดอย่างต่อเนื่อง มันจะมีรอบของการเติบโตของเศรษฐกิจ ขึ้น ลง ขึ้นมาก ลงมาก
ถ้าถามว่าช่วงนี้ตลาดมีแต่ข่าวร้ายใช่มั๊ย ก็ยังไม่ขึ้นขั้นนั้นตลาดตอนนี้มีทั้งข่าวร้ายและข่าวดี แต่ไปทางข่าวไม่ดีซะมากกว่าหุ้นมันก็เลยลง
การจะวัดระดับว่าช่วงไหนเป็นช่วงข่าวร้าย ข่าวดีก็ขึ้นอยู่กับประสบการของแต่ละคน
ยิ่งอยู่ในตลาดนานยิ่งได้เปรียบ ยิ่งทุกวันนี้มีอุปกรณ์การสื่อสารที่ทันสมัยตามข่าว เช็คราคายิ่งง่าย
สู้้ต่อไป ทาเคชิ ฮ่าๆ
ลองฟังแนวคิด จากคนที่ประสบความสำเร็จจากวิธีนี้ครับ คุณพิชัย จาวลา
Chula InvestClub
วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554
Hedge Fund is financial catalyst
Hedge Fund คืออะไร เค้าทำงานกันยังไง
เฮดจ์ฟันด์ ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นกองทุนบริหารความเสี่ยง แต่ทำไปทำมามันกลับทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกยิ่งเสี่ยงกว่าเดิม สมัยก่อนวิกฤติเศรษฐกิจใหญ่ของโลกแต่ละครั้งกว่าจะเกิดได้ก็ต้องใช้เวลาเป็นสิบปี แต่เดี๋ยวนี้วิกฤติมันเกิดเร็ว แรง และพร้อมที่จะเกิดปัญหาด้านการเงินได้ทั่วทุกมุมโลก เพราะเดี๋ยวนี้โลกเราเชื่อมต่อกันไว้ด้วยเคลือข่ายการสื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพมากกๆ
เนื่องจากการสื่อสารที่เร็วปรี๊ดทำให้เงินมันพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายไปได้ทุกหนแห่ง ที่ที่มันจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าที่ๆ มันอยู่ เมื่อเงินมันเคลื่อนที่ได้เร็ว แต่การใช้จ่าย การบริโภคและนโยบายด้านการเงินมันปรับตัวตามไม่ทันแน่นอนสิ่งที่จะตามมาก็คือปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ
ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดเจนก็คือ เมื่อยุโรปเกิดปัญหา อเมริกายังไม่จบ เงินมันก็ไหลมาเอเชียอย่างมหาศาลซึ่งตลาดหุ้นทั่วทั้งเอเชียก็เขียวกันทั่วหน้าในปีที่ผ่านมาแต่ใช่ว่าเอเชียจะมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่านะครับ เอเชียไม่ได้ดีกว่าแค่ไม่ได้มีปัญหาเท่านั้นเอง^^ ซึ่งมันกระทบทั้งค่าเงินทั้งเงินบาทและค่าเงินทั่วเอเชียแข็งกันถ่วนหน้า ทำให้เดือดร้อนถึง รมต.คลัง เจ้าพ่อเฟจบุค เมืองไทย ต้องออกมาตรการด้านการเงินมาชะลอการแข็งของค่าเงิน ไม่งั้นจะกระทบต่อฐานเสียงงงงงฮาาาาา^^
อย่างไรก็ตามเมื่อยุโปกับอเมกายังไม่ฟื้นอย่างชัดเจนหุ้นเอเชีย หุ้นไทยก็จะได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่องแน่นอน ยิ่งรัฐบาลของโอบามาประกาศใช้มาตการ QE ด้วยแล้วเงินกว่าหกแสนล้านเหรียญเมื่อมันไม่มีที่ไปมันก็มาเชียแน่ แล้วยิ่งในตลาดมีเฮดจ์ฟันด์เป็นตัวเร่งทำให้เงินมันเคลื่อนย้าย ความผันผวนของตลาดหุ้น ตลาดเงินมันก็ยิ่งแรง
ยิ่งผันผวนเท่าไหร่ ยิ่งเสี่ยงมากกก ยิ่งกำไรเยอะ??? เพราะเฮดจ์ฟันโดยธรรมชาติถูกต้องมาเพื่อบริหารความเสี่ยง ความเสี่ยงมันทำให้เกิดความไม่เท่ากันของราคาระหว่างสินทรัพย์ทางการเงินในแต่ละตลาด เฮดจ์ฟันด์ก็จะอาศัยส่วนต่างด้านราคาเพื่อทำกำไรโดยสามารถทำไรได้ทั้งขึ้นและลง วิธีนี้เรียกว่า อาบิทราจ เป็นการทำกำไรอย่างไม่มีความเสี่ยง
มาดูผลตอบแทนของ เฮดจ์ฟันด์ เมเนเจอร์กันครับ
Top Earning Fund Mangers
1.David Tepper, Appaloosa Management
Est. 2009 personal earnings: $4 billion
2. George Soros, Soros Fund Management
Est. 2009 personal earnings: $3.3 billion
3. James Simons, Renaissance Technologies
Est. 2009 personal earnings: $2.5 billion
4: John Paulson, Paulson & Company
Est. 2009 personal earnings: $2.3 billion
5: Steve Cohen, SAC Capital Advisors
Est. 2009 personal earnings: $1.4 billion
6. (tie): Carl Icahn, Icahn Capital
Est. 2009 personal earnings: $1.3 billion
6. (tie): Edward Lampert, ESL Investments
Est. 2009 personal earnings: $1.3 billion
8. (tie): Kenneth Griffin, Citadel Investment Group
Est. 2009 personal earnings: $900 million
8. (tie): John Arnold, Centaurus Advisors
Est. 2009 personal earnings: $900 million
10. Philip Falcone, Harbinger Capital Partners
Est. 2009 personal earnings: $825 million
เฮดจ์ฟันด์ ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นกองทุนบริหารความเสี่ยง แต่ทำไปทำมามันกลับทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกยิ่งเสี่ยงกว่าเดิม สมัยก่อนวิกฤติเศรษฐกิจใหญ่ของโลกแต่ละครั้งกว่าจะเกิดได้ก็ต้องใช้เวลาเป็นสิบปี แต่เดี๋ยวนี้วิกฤติมันเกิดเร็ว แรง และพร้อมที่จะเกิดปัญหาด้านการเงินได้ทั่วทุกมุมโลก เพราะเดี๋ยวนี้โลกเราเชื่อมต่อกันไว้ด้วยเคลือข่ายการสื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพมากกๆ
เนื่องจากการสื่อสารที่เร็วปรี๊ดทำให้เงินมันพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายไปได้ทุกหนแห่ง ที่ที่มันจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าที่ๆ มันอยู่ เมื่อเงินมันเคลื่อนที่ได้เร็ว แต่การใช้จ่าย การบริโภคและนโยบายด้านการเงินมันปรับตัวตามไม่ทันแน่นอนสิ่งที่จะตามมาก็คือปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ
ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดเจนก็คือ เมื่อยุโรปเกิดปัญหา อเมริกายังไม่จบ เงินมันก็ไหลมาเอเชียอย่างมหาศาลซึ่งตลาดหุ้นทั่วทั้งเอเชียก็เขียวกันทั่วหน้าในปีที่ผ่านมาแต่ใช่ว่าเอเชียจะมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่านะครับ เอเชียไม่ได้ดีกว่าแค่ไม่ได้มีปัญหาเท่านั้นเอง^^ ซึ่งมันกระทบทั้งค่าเงินทั้งเงินบาทและค่าเงินทั่วเอเชียแข็งกันถ่วนหน้า ทำให้เดือดร้อนถึง รมต.คลัง เจ้าพ่อเฟจบุค เมืองไทย ต้องออกมาตรการด้านการเงินมาชะลอการแข็งของค่าเงิน ไม่งั้นจะกระทบต่อฐานเสียงงงงงฮาาาาา^^
อย่างไรก็ตามเมื่อยุโปกับอเมกายังไม่ฟื้นอย่างชัดเจนหุ้นเอเชีย หุ้นไทยก็จะได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่องแน่นอน ยิ่งรัฐบาลของโอบามาประกาศใช้มาตการ QE ด้วยแล้วเงินกว่าหกแสนล้านเหรียญเมื่อมันไม่มีที่ไปมันก็มาเชียแน่ แล้วยิ่งในตลาดมีเฮดจ์ฟันด์เป็นตัวเร่งทำให้เงินมันเคลื่อนย้าย ความผันผวนของตลาดหุ้น ตลาดเงินมันก็ยิ่งแรง
ยิ่งผันผวนเท่าไหร่ ยิ่งเสี่ยงมากกก ยิ่งกำไรเยอะ??? เพราะเฮดจ์ฟันโดยธรรมชาติถูกต้องมาเพื่อบริหารความเสี่ยง ความเสี่ยงมันทำให้เกิดความไม่เท่ากันของราคาระหว่างสินทรัพย์ทางการเงินในแต่ละตลาด เฮดจ์ฟันด์ก็จะอาศัยส่วนต่างด้านราคาเพื่อทำกำไรโดยสามารถทำไรได้ทั้งขึ้นและลง วิธีนี้เรียกว่า อาบิทราจ เป็นการทำกำไรอย่างไม่มีความเสี่ยง
มาดูผลตอบแทนของ เฮดจ์ฟันด์ เมเนเจอร์กันครับ
Top Earning Fund Mangers
1.David Tepper, Appaloosa Management
Est. 2009 personal earnings: $4 billion
2. George Soros, Soros Fund Management
Est. 2009 personal earnings: $3.3 billion
3. James Simons, Renaissance Technologies
Est. 2009 personal earnings: $2.5 billion
4: John Paulson, Paulson & Company
Est. 2009 personal earnings: $2.3 billion
5: Steve Cohen, SAC Capital Advisors
Est. 2009 personal earnings: $1.4 billion
6. (tie): Carl Icahn, Icahn Capital
Est. 2009 personal earnings: $1.3 billion
6. (tie): Edward Lampert, ESL Investments
Est. 2009 personal earnings: $1.3 billion
8. (tie): Kenneth Griffin, Citadel Investment Group
Est. 2009 personal earnings: $900 million
8. (tie): John Arnold, Centaurus Advisors
Est. 2009 personal earnings: $900 million
10. Philip Falcone, Harbinger Capital Partners
Est. 2009 personal earnings: $825 million
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554
Leverage !! It's opportunity or risk
Leverage !! It's opportunity or risk
เชื่อว่านักลงทุน นักเก็งกำไร ทั้งที่เล่นสั้นและเล่นยาว
คงเคยได้ยินคำว่า Leverage หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ก็คือการ ออกแรงน้อยแต่สามารถยกของที่มีน้ำหนักมากกว่าคล้ายๆ กับเรื่องคานดีดคานงัด ที่เคยเรียนมาผ่านเมื่อสมัยนานมาแล้ว^^
แต่ถ้ามาแปลคำนี้ในด้านการลงทุนจะได้ว่า การใช้เงินลงทุนจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นเงินประกัน ในสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่า จะกี่เท่าก็ว่ากันไปตามแต่ละชนิดของตราสารที่เลือกเล่นกัน
อย่าเช่น Future ที่เทรดกันในเมืองไทย ( set50 index future or single stock future ) จะ leverage กันที่ 10 เท่า ในขณะที่ตลาด forex ตลาดที่เค้าเทรดค่าเงินกัน จะ leverage กันสูงมาก 100 – 500 เท่า
ยิ่งสูงโอกาสยิ่งมาก แต่คำว่าโอกาสมันมากับคำว่าความเสี่ยงเสมอ
ภายในไม่กี่นาที สามารถกำไรได้เป็น 100% แต่ขณะเดียวกันก็สามารถขาดทุนชนิดเงินทั้งพอร์ตหายวับไปในพริบตาก็ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งหากใครเทรดเก่งๆ คัทลอสเร็ว จะสามารถสร้างกำไรได้อย่างมหาศาลจากเงินลงทุนเริ่มต้นเพียงนิดเดียว จาก 5 หลัก กลายเป็น 7 หลัก 8 หลักก็ว่ากันไป ฮ่าๆๆๆ
แต่กว่าจะสามารถประสบความสำเร็จระดับนั้นได้ มันต้องถึงฝึกฝน เล่นจริงเจ็บจริงแต่ถ้าไม่อยากเจ็บเองก็ควรไปหาชีวประวัติของเทรดเดอร์ที่ประสบความสบเร็จอ่านมาลองศึกษาดูนะครับ ว่าเค้า
ทำยังไงถึงสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึงระดับนั้น (การอ่านเป็นขั้นแรกของการเริ่มต้นทุกอย่าง^^) นี่จะเป็นทางลัดที่จะทำให้เราไม่ต้องไปเจ็บตัวหรือขาดทุน แต่คำเตือนคำบอกของเซียนยังไงก็ไม่เท่ากับการได้ลองเองหรอกใช่มั๊ย
ดังนั้นสิ่งที่ควรทำต่อมาก็คือ การเริ่มต้นเทรดด้วยเงินน้อยๆ ก่อนนี่เป็นวิธีการแก้คันได้ดีที่สุดฮ่าๆๆ!! เผื่อว่าเวลาที่ระบบเทรด หรือเราตัดสินใจพลาดจะได้เจ็บตัวน้อยหน่อย เพราะถ้าหากเริ่มด้วยเงินก้อนใหญ่ๆ หรือเงินที่ไปกู้เค้ามาเล่น เวลาเสียมันจะเจ็บตัวหนักครับ ถึงขั้นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะโดนหุ้นเล่น ไม่ได้เล่นหุ้น ซะแล้ววว....
หนังสือที่แนะนำลองไปหา e-book อ่านกันก็เช่น
Timing The Market // Market Wizard
สู้ๆ ครับ หนทางอีกยาวไกล แต่เริ่มต้นด้วยก้าวแรก เสมอ
วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554
ลิ้งบทความน่าสนใจ
บทความเศรษฐศาสตร์น่าสนใจ
บทความด้านเศรษฐศาสตร์ที่น่าสนใจหลายเรื่องเลยครับลองเข้าไปอ่านดู
http://www.econ.tu.ac.th/?action=new...menu=&lang=th&
และนอกจากสัมนาดีๆ ของ S2M แล้ว
หากอยากได้ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์อย่างลึกซึ้งลองไปฟังสันมาดีฟรี ได้ที่
http://www.econ.tu.ac.th/?action=new...g=th&css=style
Chula InvestClub
วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554
วันแรกเปิดเขียว
วันแรกเปิดเขียว
ตลาดหุ้นวันแรกของปีกระต่ายย เปิดมาด้วยการเปิดกระโดดมาบวกประมาณ 10 จุดตั้งแต่เปิดตลาด
ด้วยมูลค่าการซื้อขายตลอดทั้งวันกว่า 37,000 ล้าน โดยปิดที่ 1,042.41 จุด บวกมา 9.65 จุดจากวันที่ 30 ธันวาคม
ปีที่ผ่านมานักลงทุนหลายๆ ท่านได้ผลตอบแทนจากการลงทุนและเก็งกำไรในหุ้นอย่างงดงาม บางคนได้หลายร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ปีนี้การจะทำกำไรให้ได้เยอะๆ มากเท่ากับปีที่ผ่านมาอาจไม่ง่ายนักเนื่องจากตลาดหุ้นได้ปรับขึ้นมาอย่างเร็วและแรงในปีที่ผ่านมา ปีนี้แม้วันแรกจะเปิดบวกมาได้อย่างเขียวสดงดงามแต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังให้มากก็คือ การปรับฐานใหญ่ๆ ซักครั้งนึงซึ่งนักวิเคราะห์รายคนเชื่อว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
ตลาดมันไม่เคยวิ่งม้วนเดียวจบหรอก มันต้องมีวิ่ง พัก ย่อ แล้วไปต่อ ไม่เชื่อลองไปดูกราฟดู^^ แต่คำถามที่สำคัญก็คือเราจะเชื่อนักวิเคราะห์เหล่านี้ได้แค่ไหน??
ผมว่าการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์เหล่านี้อยู่บนหลักของเหตุและผล และโอกาสของความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นซึ่งมันมีทั้งโอกาสถูกและผิด!!
หน้าที่ที่สำคัญก็คือเราจะต้องมาวิเคราะห์ต่อว่าตลาดมันจะไปต่อจริงๆ หรือไม่ นี่เป็นโอกาสเข้าซื้อรึป่าว
ถ้าเล่นยาวนี่เป็นจังหวะลงทุนมั๊ยยย?? ถ้าเล่นรอบมันจะจบรอบเมื่อไหร่?? นี่คือคำถามที่สำคัญ
ในความคิดของผมในตลาดยังมีหุ้นอีกหลายตัวเลยที่ยังปรับขึ้นมาไม่มากนักเมื่อเทียบกับดัชนีของ SET โดยรวม เลือกลงทุนเป็นตัวๆ ที่มี margin of safety สูงๆ ไว้ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ (กลุ่มพลังงาน กลุ่มเกษตร เพราะตลาดหุ้นเมืองไทยมันยังไปได้อีกไกล^^ ลองไปอ่านบทความของ pawawit stock comment ดูนะครับ ว่าเค้ามองไว้ที่เท่าไหร่)
ส่วนคนที่เล่นรอบ ข่าว กับ กราฟ เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ แต่มีสิ่งที่สำคัญมากของคนเล่นหุ้นแนวนี้ที่จะต้องทำให้ได้ก็คือ ทำตามแผนที่ตัวเองตั้งไว้ก่อนซื้อ
จะเอากำไรเท่าไหร่ จะคัทลอสที่เท่าไหร่ ถ้ายังไม่รู้สองคำตอบนี้อย่าไปเล่นแนวนี้เลยเพราะในระยะยาวแล้ว คุณอยู่ไม่รอดหรอก (ขาดทุนมานักต่อนักแล้ว ฮ่าๆๆ)
ก่อนจากกันเอากราฟของ SETถึงวันสิ้นปี เทียบกับ วอลุ่มมาให้ดู
ว่าถ้าตลาดหุ้นขึ้น แล้ววอลุ่มมันน้อยลง ในอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้น ลองไปคิดต่อนะครับ ^^
Chula InvestClub
วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554
ยอดขายรถยนต์ เดือน พฤศจิกายน 53
มาดูยอดขายรถยนต์เดือน พฤศจิกายน 53 เทียบกับ เดือนพฤศจิกายน 52 กัน
ตัวเลขมันยืนยันว่าเศรษฐกิจมันโตขึ้นจริง แต่จะโตตามที่ตลาดหุ้นมันโตหรือไม่ ต้องดูกันต่อไป
แหล่งที่มา
http://www.toyota.co.th/th/sale_volu...2009&x=117&y=5
ตัวเลขมันยืนยันว่าเศรษฐกิจมันโตขึ้นจริง แต่จะโตตามที่ตลาดหุ้นมันโตหรือไม่ ต้องดูกันต่อไป
แหล่งที่มา
http://www.toyota.co.th/th/sale_volu...2009&x=117&y=5
วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)