โดยปกติในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นมักจะมีการนำบริษัทใหม่ๆ เข้ามาระดมทุนครั้งแรก (IPO) ผ่านตลาดหลักทรัพย์กันอย่างคึกคัก เพราะอะไรทำไมถึงต้องเป็นช่วงที่ตลาดขาขึ้นสงสัยกันมั๊ย^^
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้ากับความหมายของ การระดมทุน (Initial Public Offering) เป็นการนำหุ้นของบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์มาขายแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก จากนั้นเมื่อขั้นตอนการระดมทุนเสร็จสิ้น หุ้นของบริษัทที่เสนอการระดมทุนนั้นก็จะสามารถทำการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้
กลับมาที่คำถามว่าทำไมต้องออกหุ้นช่วงขาขึ้น เนื่องจากตลาดขาขึ้นนั้นคนมักจะมองว่าเศรษฐกิจของประเทศและผลประกอบการของหุ้นตัวนั้นๆ จะออกมาดีอย่างต่อเนื่อง เลยทำให้การประเมินมูลค่า(valuation)ทั้งจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยให้ราคาของบริษัทนั้นอาจจะมากกว่าสภาพเศรษฐกิจปกติ หรือในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ
เมื่อเป็นอย่างนี้จะทำให้การตั้งราคาขายหุ้นครั้งแรกก็จะสามารถต้องได้สูงขึ้นกว่าในช่วงเวลาอื่นๆ เราจึงเห็นบริษัทมากมายเข้ามาลงทุนในช่วงนี้
แต่สิ่งที่สำคัญของการทำ IPO นี้อยู่ที่ว่าใครจะได้ประโยชน์มากกว่ากัน ระหว่างเจ้าของบริษัท(ผู้ถือหุ้นใหญ่) เจ้าหนี้ หรือ คนที่ซื้อหุ้น IPO
ถ้าคิดกันง่ายๆ สมมติว่าเราเป็นเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง เรารู้ว่าในอนาคตกำไรของบริษัทจะดีอย่างมากถ้ามีการลงทุนในโปรเจ็คอย่างนึง แต่สิ่งที่เราขาดตอนนี้ก็คือเงินลงทุน คุณจะทำยังไงระหว่างเอาเงินจากการกู้ธนาคารหรือเอาเงินจากการออกหุ้น IPO มาลงทุน??
แน่นอนตามหลักแล้ว คุณต้องเลือกที่จะกู้ธนาคารมากกว่าการออกหุ้น IPO เพื่อระดมทุน เนื่องจากต้นทุนของเงินกู้จากธนาคารต่ำกว่าการออกหุ้นใหม่ และดอกเบี้ยที่จ่ายเจ้าหนี้ยังสามารถมาหักเพื่อลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย อีกทั้งความมั่งคั่ง(wealth) ของเจ้าของเดิมก็ไม่ถูกแบ่งไปให้ผู้ถือหุ้นใหม่ด้วย
แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่หุ้นมีแนวโน้มที่จะสามารถขายได้มากกว่าราคาพื้นฐานของบริษัท (Overvalue) เจ้าของก็มีแนวโน้มออกหุ้นมาขายเพื่อเอาเงินไปลงทุนและส่วนที่เกินมาอาจจะเอาไปจ่ายผลตอบแทนให้กับตัวเอง ทั้งในรูปของ ปันผล โบนัส หรือรถประจำตำแหน่ง
ที่เขียนมาข้างบนนี่เป็นเพียงเหตุผลบางส่วนที่อาจจะใช้เป็นข้อสังเกตุได้ว่า หุ้น IPO บางส่วนที่ออกมาขายนั้นราคาที่ขายอาจจะราคาแพงเกินไป หรือบางตัวอาจจะแพงมั่กๆ เลยก็ได้
ไม่ว่าหุ้น IPO จะราคาแพงหรือไม่ แต่จากสถิติแล้วในภาวะขาหุ้น หุ้นเข้าตลาดวันแรกราคาวิ่งสวดยอดไปเลย โอ้วแม่เจ้า ฮ่าๆๆๆ อย่างนี้ไม่จองไม่ได้แล้ว(เหรออออ)
Like
วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
มองรอบตัว : ตอนนี้เรากำลังแข่งกับใคร ??
ทุกวันนี้การแข่งขันไม่ว่าอะไรก็ตามมันแข่งกันรุนแรงมากและการแข่งขันทุกอย่างมันก็ต้องจบลงด้วยการที่ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชนะในขณะอีกฝ่ายจะต้องอยู่ฝั่งของคนแพ้เสมอในโลกของการลงทุนนั้นการแข่งขันมันมีความได้เปรียบและเสียเปรียบกันอยู่มากพอสมควรเลย ทั้งเรื่องของขนาดของเงิน ความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้วิเคราะห์และความเร็วในการตัดสินใจ
ในเรื่องของขนาดของเงินลงทุนนั้น ถ้าเราดูการโยกเงินเข้าๆ ออกๆ ของกองทุนและฝรั่งทั้งหัวดำหัวแดง เราจะเห็นว่าพวกนี้เวลาที่ซื้อหุ้นก็ไม่ได้ซื้ออย่างเดียว เวลาขายก็เช่นกันไม่ได้สักแต่ขายอย่างเดียว มีการยึกยักซื้อบ้างขายบ้างทำให้เกิดการสวิงของราคา(รายย่อยมึนนน) คนที่คิดว่าเจ๋งเข้าไปรับหรือเข้าไปตาม สุดท้ายไม่ค่อยรอดเพราะกลุ่มคนที่มีพอร์ตขนาดใหญ่จะรู้ทิศทางของราคาและสามารถทนถือได้นานกว่า ในช่วงเวลาที่พอร์ตยังไม่กำไร
ส่วนในเรื่องของความแม่นยำของข้อมูล ความต่างมันชัดเจนอย่างมากเพราะว่ากองทุนใหญ่ๆ หรือ Investment Bank สามารถเข้าไปคุยกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทนั้นๆ เพื่อสอบถามข้อมูลและความเป็นไปของบริษัทได้ เมื่อได้ข้อมูลมาก็จะมาทำการประเมินราคาหุ้น (valuation) ในขณะที่รายย่อยไม่มีโอกาสได้เข้าไปคุยแบบตัวต่อตัวอย่างนั้น ทำได้อย่างมากก็เพียงติดตามตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ที่กระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท และการดูงบการเงินย้อนหลังซึ่งมันมีปันหาเรื่องความเร็วของข้อมูล
แค่เรื่องความเร็วและความถูกต้องของข้อมูล มันก็ทำให้คนที่รู้ก่อนทำกำไรได้อย่างมหาศาล
แล้วเราจะทำยังไงเพื่อลดความเสียเปรียบทั้งในเรื่อง ขนาดของเงิน และ ความไม่เท่ากันของข้อมูลที่มี
วิธีหนึ่งที่น่าจะง่ายสำหรับทุกคนก็คือ การตัดสินใจให้ช้าลงคิดให้มากขึ้น^^ และก็อาจจะรวมทั้งถือให้นานขึ้นด้วย โดยต้องมองอนาคตและภาพรวมหุ้นตัวนั้นให้ออก เพราะการลงทุนนั้นจริงๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพและผลงานของงานของบริษัทในระยะยาว การแกว่งของราคามันเป็นเพียงช่วงสั้นๆ สุดท้ายยังไงถ้าเลือกหุ้นจากกิจการที่มีพื้นฐานที่ดี มีปันผลจ่ายสม่ำเสมอ วิธีนี้ก็จะทำให้ลดปัญหาการขาดทุนได้ระดับนึง
อีกวิธีนึงก็ได้แก่ การใช้เทคนิคัล มาช่วยในการตัดสินใจ เครื่องมือทางเทคนิคมีมากมาย ทั้งการใช้เส้นค่าเฉลี่ย ใช้อินดิเคเตอร์ ใช้รูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา และก็อีกหลายวิธี เพื่อหาแนวรับและแนวต้านของหุ้นตัวนั้น และเพื่อหาจุดในการเข้าซื้อ และขายเพื่อทำกำไร
การจะใช้เทคนิคัลมาเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต สิ่งที่ต้องยึดมั่นก็คือ ทำตามก็ที่เราต้องขึ้นไว้ในตอนแรก เราซื้อเพราะอะไร ขายเพราะอะไร เพราะการไม่ทำตามสิ่งที่ได้กำหนดไว้ในตอนเริ่มต้น แม้จะได้กำไรสูงๆ ในระยะสั้นแต่ในระยะยาวนั้นมันอาจไม่คุ้มกับสิ่งที่ได้นะครับ^^
สิ่งที่ต้องจำไว้ก็คือ การลงทุนเราไม่ได้ไปต่อสู้กับใคร คนที่เราต้องสู้ด้วยก็คือตัวเอง เราทำตามแผนที่เราตั้งไว้ได้รึป่าวแค่นั้นเอง^^
ง่ายนิดเดียว แต่ยากมากกกก ฮ่าๆ
ในเรื่องของขนาดของเงินลงทุนนั้น ถ้าเราดูการโยกเงินเข้าๆ ออกๆ ของกองทุนและฝรั่งทั้งหัวดำหัวแดง เราจะเห็นว่าพวกนี้เวลาที่ซื้อหุ้นก็ไม่ได้ซื้ออย่างเดียว เวลาขายก็เช่นกันไม่ได้สักแต่ขายอย่างเดียว มีการยึกยักซื้อบ้างขายบ้างทำให้เกิดการสวิงของราคา(รายย่อยมึนนน) คนที่คิดว่าเจ๋งเข้าไปรับหรือเข้าไปตาม สุดท้ายไม่ค่อยรอดเพราะกลุ่มคนที่มีพอร์ตขนาดใหญ่จะรู้ทิศทางของราคาและสามารถทนถือได้นานกว่า ในช่วงเวลาที่พอร์ตยังไม่กำไร
ส่วนในเรื่องของความแม่นยำของข้อมูล ความต่างมันชัดเจนอย่างมากเพราะว่ากองทุนใหญ่ๆ หรือ Investment Bank สามารถเข้าไปคุยกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทนั้นๆ เพื่อสอบถามข้อมูลและความเป็นไปของบริษัทได้ เมื่อได้ข้อมูลมาก็จะมาทำการประเมินราคาหุ้น (valuation) ในขณะที่รายย่อยไม่มีโอกาสได้เข้าไปคุยแบบตัวต่อตัวอย่างนั้น ทำได้อย่างมากก็เพียงติดตามตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ที่กระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท และการดูงบการเงินย้อนหลังซึ่งมันมีปันหาเรื่องความเร็วของข้อมูล
แค่เรื่องความเร็วและความถูกต้องของข้อมูล มันก็ทำให้คนที่รู้ก่อนทำกำไรได้อย่างมหาศาล
แล้วเราจะทำยังไงเพื่อลดความเสียเปรียบทั้งในเรื่อง ขนาดของเงิน และ ความไม่เท่ากันของข้อมูลที่มี
วิธีหนึ่งที่น่าจะง่ายสำหรับทุกคนก็คือ การตัดสินใจให้ช้าลงคิดให้มากขึ้น^^ และก็อาจจะรวมทั้งถือให้นานขึ้นด้วย โดยต้องมองอนาคตและภาพรวมหุ้นตัวนั้นให้ออก เพราะการลงทุนนั้นจริงๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพและผลงานของงานของบริษัทในระยะยาว การแกว่งของราคามันเป็นเพียงช่วงสั้นๆ สุดท้ายยังไงถ้าเลือกหุ้นจากกิจการที่มีพื้นฐานที่ดี มีปันผลจ่ายสม่ำเสมอ วิธีนี้ก็จะทำให้ลดปัญหาการขาดทุนได้ระดับนึง
อีกวิธีนึงก็ได้แก่ การใช้เทคนิคัล มาช่วยในการตัดสินใจ เครื่องมือทางเทคนิคมีมากมาย ทั้งการใช้เส้นค่าเฉลี่ย ใช้อินดิเคเตอร์ ใช้รูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา และก็อีกหลายวิธี เพื่อหาแนวรับและแนวต้านของหุ้นตัวนั้น และเพื่อหาจุดในการเข้าซื้อ และขายเพื่อทำกำไร
การจะใช้เทคนิคัลมาเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต สิ่งที่ต้องยึดมั่นก็คือ ทำตามก็ที่เราต้องขึ้นไว้ในตอนแรก เราซื้อเพราะอะไร ขายเพราะอะไร เพราะการไม่ทำตามสิ่งที่ได้กำหนดไว้ในตอนเริ่มต้น แม้จะได้กำไรสูงๆ ในระยะสั้นแต่ในระยะยาวนั้นมันอาจไม่คุ้มกับสิ่งที่ได้นะครับ^^
สิ่งที่ต้องจำไว้ก็คือ การลงทุนเราไม่ได้ไปต่อสู้กับใคร คนที่เราต้องสู้ด้วยก็คือตัวเอง เราทำตามแผนที่เราตั้งไว้ได้รึป่าวแค่นั้นเอง^^
ง่ายนิดเดียว แต่ยากมากกกก ฮ่าๆ
วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
มองรอบตัว : แนะนำหนังสือ The New Market Wizard
The New Market Wizards is a book by Jack D. Schwager published in 1992. The format is very similar to his 1988 Market Wizards, with a new selection of interviews with super-traders.
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นจากการไปสำภาษณ์เทร์ดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จทั่วอเมริกา
เนื้อหาในเล่มมีหลายหลายครับ ทั้งเรื่อง การควบคุมอารมณ์ การบริหารหน้าตัก และจะทำยังไงเมื่อเสีย
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นจากการไปสำภาษณ์เทร์ดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จทั่วอเมริกา
เนื้อหาในเล่มมีหลายหลายครับ ทั้งเรื่อง การควบคุมอารมณ์ การบริหารหน้าตัก และจะทำยังไงเมื่อเสีย
วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
มองรอบตัว : โอกาสเป็นของคนที่เตรียมพร้อม
ปกติเวลาเราเห็นใครที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เรามักจะคิดว่าคนเหล่านั้นมีพรสวรรค์ที่มากกว่าคนปกติหรือคนทั่วๆ ไป แต่ไม่เลยคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็น นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิค นักแข่งรถ นักเขียน โปรแกรมเมอร์ หรือแม้กระทั่งนักลงทุน คนเหล่านี้ใช้เวลาศึกษาและฝึกซ้อมอย่างจริงจัง หลายร้อย หลายพัน ชั่วโมง
ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ เสียทั้งแรงกาย แรงใจ และแรงเงินสำหรับแมงเม่าขั้นฝึกหัด ที่อยากรวยในตลาดหุ้น สิ่งที่คนเหล่านี้มีอยู่เหมือนๆ กันก็คือ ความอดทน (อึด ถึก ทน ฮ่าๆๆ)
ก่อนจะดังระดับโลกและรวยมหาศาล JK คนที่เขียนแฮรรี่ พอตเตอร์ ใช้เวลาไปกับการเขียนนิยายแฟนตาซีเกี่ยวกับเรื่องพ่อมด แม่มด โดยมีรายได้น้อยนิดจากเงินประกันสังคม แต่แล้ววันหนึ่งโอกาสที่ยิ่งใหญ่มาถึงเมื่อมีสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งยอมพิมพ์หนังสือนิยายของเธอออกขาย จนกลายมาเป็น แฮรี่พอดเตอร์ ที่มีทั้งคนดูและคนอ่านหลายล้านคนทั่วโลก
ธงชัย ใจดี ไทเกอร์ วูด ดร.นิเวศ วรเร็น บัฟเฟต และคนอื่นๆ อีกมายมายที่แสดงให้เห็นว่า การทำในสิ่งที่รักและอยู่กับมันไปเรื่อยๆ ฝึกฝน และพัฒนาฝีมือจนกระทั่งวันหนึ่งโอกาสครั้งใหญ่มาถึง ผลที่ได้รับมันย่อมคุ้มค่าแน่นอน
ในเรื่องการลงทุนหรือการเล่นหุ้นนั้น มีทั้งคนที่รวยแบบมหาศาลและก็มีทั้งคนที่ขาดทุนแทบหมดตัว เพราะอะไร??
การเล่นหุ้นให้ได้กำไรนั้นมีหลายวิธี วิธีที่มีตัวอย่างประสบความสำเร็จอย่างเห็นได้ชัดมากที่สุดก็คือ การลงทุนหุ้นแบบเน้นคุณค่า(VI) วิธีนี้มันเหมือนง่ายแต่จริงๆ แล้วยากชะมัดเลยนะครับ คุณจะทนได้มั๊ยเวลาที่หุ้นมันสวิงแรงๆ จากกำไรอยู่ดี กลายเป็นขาดทุนซะงั้น คุณทนที่จะไม่ขายมันได้รึป่าว ใครลงทุนแนวนี้เรื่องที่ฝึกฝนจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องของความนิ่งในการอดทนมากกว่าการเลือกหุ้นซะอีก ผมว่าการเลือกหุ้นให้ถูกตัวนี่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ก็เพราะแต่ละคนก็มีข้อมูลอยู่ในมือเหมือนๆ กัน สามารถวิเคราะห์และคาดการณ์ได้ไม่ต่างกันมากนัก
การเล่นหุ้นอีกแนวนึงก็คือ การจับจังหวะทำกำไร(Timing Market) แนวนี้หาคนที่ประสบความเส็จแบบรวยมหาศาลนี่น้อยมาก มีคนนึงที่ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยได้ยินชื่อกันบ้างแล้วก็คือ จอร์จ โซรอส
โซรอส มีระบบวิธีคิดที่แตกต่าง เก่งในด้าน Macro Economic ทำให้สามารถมองภาพรวมได้ขาดจริงๆ เวลาที่คนส่วนใหญ่คิดอะไร โซรอส อยู่ฝ่ายตรงข้ามเสมอผลที่ออกมาพิสูจน์ให้เห็นเลยว่าใครคิดถูก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เคยชนะในสงครามการเงิน มีคนเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ในตลาดหุ้น ที่อยู่ในฝั่งของคนที่ได้กำไร
เพราะมันมีปัจจัยเยอะแยะมากมายที่พร้อมจะมากระทบกับการเคลื่อนไหวของราคา ทั้งการเมือง สงคราม ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ จึงทำให้คนที่เล่นแบบตามข่าว ตามรอบไม่ค่อยประสบควาสำเร็จเท่าไหร่
อีกแนวที่เริ่มมีคนศึกษากันเยอะขึ้นก็คือ Technical Analysis แนวนี้เป็นที่นิยมกันมากขึ้นเพราะเป็นแนวที่ไม่ต้องติดตามข่าวมากเกินไป ใช้กราฟและอินดิเคเตอร์ก็สามารถพยากรณ์ได้ว่าราคาหุ้นจะมีทิศทางอย่างไร แต่ใช่ว่าแค่ลากกราฟเป็นจะสามารถทำกำไรได้ มันยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้
ไม่ว่าจะเลือกทางไหนขอเพียงแน่วแน่และยึดมั่นว่าทางเดินของตัวเองสามารถไปถึงเป้าหมายได้
Keep Walking
ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ เสียทั้งแรงกาย แรงใจ และแรงเงินสำหรับแมงเม่าขั้นฝึกหัด ที่อยากรวยในตลาดหุ้น สิ่งที่คนเหล่านี้มีอยู่เหมือนๆ กันก็คือ ความอดทน (อึด ถึก ทน ฮ่าๆๆ)
ก่อนจะดังระดับโลกและรวยมหาศาล JK คนที่เขียนแฮรรี่ พอตเตอร์ ใช้เวลาไปกับการเขียนนิยายแฟนตาซีเกี่ยวกับเรื่องพ่อมด แม่มด โดยมีรายได้น้อยนิดจากเงินประกันสังคม แต่แล้ววันหนึ่งโอกาสที่ยิ่งใหญ่มาถึงเมื่อมีสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งยอมพิมพ์หนังสือนิยายของเธอออกขาย จนกลายมาเป็น แฮรี่พอดเตอร์ ที่มีทั้งคนดูและคนอ่านหลายล้านคนทั่วโลก
ธงชัย ใจดี ไทเกอร์ วูด ดร.นิเวศ วรเร็น บัฟเฟต และคนอื่นๆ อีกมายมายที่แสดงให้เห็นว่า การทำในสิ่งที่รักและอยู่กับมันไปเรื่อยๆ ฝึกฝน และพัฒนาฝีมือจนกระทั่งวันหนึ่งโอกาสครั้งใหญ่มาถึง ผลที่ได้รับมันย่อมคุ้มค่าแน่นอน
ในเรื่องการลงทุนหรือการเล่นหุ้นนั้น มีทั้งคนที่รวยแบบมหาศาลและก็มีทั้งคนที่ขาดทุนแทบหมดตัว เพราะอะไร??
การเล่นหุ้นให้ได้กำไรนั้นมีหลายวิธี วิธีที่มีตัวอย่างประสบความสำเร็จอย่างเห็นได้ชัดมากที่สุดก็คือ การลงทุนหุ้นแบบเน้นคุณค่า(VI) วิธีนี้มันเหมือนง่ายแต่จริงๆ แล้วยากชะมัดเลยนะครับ คุณจะทนได้มั๊ยเวลาที่หุ้นมันสวิงแรงๆ จากกำไรอยู่ดี กลายเป็นขาดทุนซะงั้น คุณทนที่จะไม่ขายมันได้รึป่าว ใครลงทุนแนวนี้เรื่องที่ฝึกฝนจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องของความนิ่งในการอดทนมากกว่าการเลือกหุ้นซะอีก ผมว่าการเลือกหุ้นให้ถูกตัวนี่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ก็เพราะแต่ละคนก็มีข้อมูลอยู่ในมือเหมือนๆ กัน สามารถวิเคราะห์และคาดการณ์ได้ไม่ต่างกันมากนัก
การเล่นหุ้นอีกแนวนึงก็คือ การจับจังหวะทำกำไร(Timing Market) แนวนี้หาคนที่ประสบความเส็จแบบรวยมหาศาลนี่น้อยมาก มีคนนึงที่ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยได้ยินชื่อกันบ้างแล้วก็คือ จอร์จ โซรอส
โซรอส มีระบบวิธีคิดที่แตกต่าง เก่งในด้าน Macro Economic ทำให้สามารถมองภาพรวมได้ขาดจริงๆ เวลาที่คนส่วนใหญ่คิดอะไร โซรอส อยู่ฝ่ายตรงข้ามเสมอผลที่ออกมาพิสูจน์ให้เห็นเลยว่าใครคิดถูก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เคยชนะในสงครามการเงิน มีคนเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ในตลาดหุ้น ที่อยู่ในฝั่งของคนที่ได้กำไร
เพราะมันมีปัจจัยเยอะแยะมากมายที่พร้อมจะมากระทบกับการเคลื่อนไหวของราคา ทั้งการเมือง สงคราม ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ จึงทำให้คนที่เล่นแบบตามข่าว ตามรอบไม่ค่อยประสบควาสำเร็จเท่าไหร่
อีกแนวที่เริ่มมีคนศึกษากันเยอะขึ้นก็คือ Technical Analysis แนวนี้เป็นที่นิยมกันมากขึ้นเพราะเป็นแนวที่ไม่ต้องติดตามข่าวมากเกินไป ใช้กราฟและอินดิเคเตอร์ก็สามารถพยากรณ์ได้ว่าราคาหุ้นจะมีทิศทางอย่างไร แต่ใช่ว่าแค่ลากกราฟเป็นจะสามารถทำกำไรได้ มันยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้
ไม่ว่าจะเลือกทางไหนขอเพียงแน่วแน่และยึดมั่นว่าทางเดินของตัวเองสามารถไปถึงเป้าหมายได้
Keep Walking
วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
มองรอบตัว : ยิ่งให้ยิ่งได้ จริงหรือ??
ช่วงนี้ S2M ได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อหลายๆ ที่เป็นอย่างนี้เพราะหนังสือทั้งสามเล่มของ S2M ได้แก่ แก่รอยหยักเล่ม 1 และเล่ม 2 กับ 7 เทคนิคฟันกำไรหุ้นเดย์เทรด ติดอันดับหนังสือขายดีของ SE-ED ทั้งๆ ที่เป็นหนังสือเกี่ยวกับหุ้นเกี่ยบกับการลงทุน แซงหน้าหนังสือการ์ตูน นิยาย และพระเครื่องแบบไม่เห็นฝุ้นกันเลยทีเดียว พระเจ้า^^ สุโค่ยยยมากก ฮ่าๆๆ
โมเดลการทำธุรกิจของ S2M เริ่มต้นด้วยการให้อย่างแท้จริง จะเห็นได้ว่าทุกคนสามารถมาเข้ามาอ่านเวบบอร์ดของ S2M ได้อย่างฟรีๆ ไม่เสียตัง แถมยังได้ความรู้กลับไปทำกำไรเข้าพอร์ตหุ้นอีกด้วย คนอื่นได้กำไรรึป่าวผมไม่รู้แต่ผมก็ได้ค่าขนมพอสมควรเลยยย อิ่มมมม ฮ่าๆ ^
ยุคนี้สมัยนี้ใครทำธุรกิจที่หวังจะเอากำไรอย่างเดียว โกยคนเดียว รวยคนเดียวมันทำไม่ได้แล้ว ลองมองไปรอบๆ ตัว คุณจะเห็นว่านักธุรกิจที่เจ๋งจริงเค้าพยายามจะแบ่งปัน แม้จะไม่ได้กำไรที่เป็นจำนวนเงินอย่างสูงสุดแต่สิ่งที่ได้มากกว่าเงินก็คือ การที่คนในสังคมยอมรับและให้เกียรติว่าคนเหล่านี้มีจิตใจดี พยายามแบ่งปัน ไม่เอาคนเดียว ซึ่งการทำแบบนี้ไม่ได้ทำได้ในวันเดียวมันต้องค่อยๆ ทำ ค่อยๆ สร้างกันไป กว่าจะเห็นผลใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปี
แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าการให้ก่อนโดยไม่หวังผลตอบแทน มันเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อในระยะแรกมันแทบจะไม่มีผลตอบแทนในรูปของเงินกลับมาเลย มันเลยทำให้คนที่พยายามเป็นผู้ให้บางทีก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม S2M เลือกที่จะเก็บค่าสมาชิกรายปี ปีละ 1000 บาท หลายคนบ่นบอกว่าแพงจัง เก็บทำไม ที่อื่นเค้าไม่เห็นเก็บกันเลย ก็ถูกครับแต่เพื่อให้เวบ stock2morrow อยู่ได้อย่างยังยืนมันก็ต้องสามารถเลี้ยงตัวเองได้ด้วย แม้บริษัทจะไม่ได้กำไรสูงสุดแต่โดยรวมแล้วสังคมได้ประโยชน์จริงๆ
สิ่งที่เป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของการเก็บค่าสมาชิกก็คือ มันทำให้ S2M เป็นสังคมที่มีคุณภาพจริงๆ ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยไปอ่านเวบบอร์ดฟรีของที่อื่นกันบ้าง ในนั้นอาจจะเห็นพวกที่ก่อกวน สร้างความรำคาญ ซึ่งนั่นมันชี้ให้เห็นว่าคุณภาพของคนที่เข้ามาอ่านมันต่างกัน^^
วันนี้ไม่ได้เขียนเรื่องหุ้นแต่อยากให้คนที่ผ่านมาอ่านเข้าใจประเด็นสำคัญก็คือ
สังคมจะดีได้มันเริ่มจากการแบ่งปัน ยิ่งคุณให้เท่าไหร่ ยิ่งได้กลับคืนหลายเท่านัก
ถ้าไม่เชื่อ ลองถามคุณ Pawawit & looking & Wizard Kid อิอิ!!
โมเดลการทำธุรกิจของ S2M เริ่มต้นด้วยการให้อย่างแท้จริง จะเห็นได้ว่าทุกคนสามารถมาเข้ามาอ่านเวบบอร์ดของ S2M ได้อย่างฟรีๆ ไม่เสียตัง แถมยังได้ความรู้กลับไปทำกำไรเข้าพอร์ตหุ้นอีกด้วย คนอื่นได้กำไรรึป่าวผมไม่รู้แต่ผมก็ได้ค่าขนมพอสมควรเลยยย อิ่มมมม ฮ่าๆ ^
ยุคนี้สมัยนี้ใครทำธุรกิจที่หวังจะเอากำไรอย่างเดียว โกยคนเดียว รวยคนเดียวมันทำไม่ได้แล้ว ลองมองไปรอบๆ ตัว คุณจะเห็นว่านักธุรกิจที่เจ๋งจริงเค้าพยายามจะแบ่งปัน แม้จะไม่ได้กำไรที่เป็นจำนวนเงินอย่างสูงสุดแต่สิ่งที่ได้มากกว่าเงินก็คือ การที่คนในสังคมยอมรับและให้เกียรติว่าคนเหล่านี้มีจิตใจดี พยายามแบ่งปัน ไม่เอาคนเดียว ซึ่งการทำแบบนี้ไม่ได้ทำได้ในวันเดียวมันต้องค่อยๆ ทำ ค่อยๆ สร้างกันไป กว่าจะเห็นผลใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปี
แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าการให้ก่อนโดยไม่หวังผลตอบแทน มันเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อในระยะแรกมันแทบจะไม่มีผลตอบแทนในรูปของเงินกลับมาเลย มันเลยทำให้คนที่พยายามเป็นผู้ให้บางทีก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม S2M เลือกที่จะเก็บค่าสมาชิกรายปี ปีละ 1000 บาท หลายคนบ่นบอกว่าแพงจัง เก็บทำไม ที่อื่นเค้าไม่เห็นเก็บกันเลย ก็ถูกครับแต่เพื่อให้เวบ stock2morrow อยู่ได้อย่างยังยืนมันก็ต้องสามารถเลี้ยงตัวเองได้ด้วย แม้บริษัทจะไม่ได้กำไรสูงสุดแต่โดยรวมแล้วสังคมได้ประโยชน์จริงๆ
สิ่งที่เป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของการเก็บค่าสมาชิกก็คือ มันทำให้ S2M เป็นสังคมที่มีคุณภาพจริงๆ ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยไปอ่านเวบบอร์ดฟรีของที่อื่นกันบ้าง ในนั้นอาจจะเห็นพวกที่ก่อกวน สร้างความรำคาญ ซึ่งนั่นมันชี้ให้เห็นว่าคุณภาพของคนที่เข้ามาอ่านมันต่างกัน^^
วันนี้ไม่ได้เขียนเรื่องหุ้นแต่อยากให้คนที่ผ่านมาอ่านเข้าใจประเด็นสำคัญก็คือ
สังคมจะดีได้มันเริ่มจากการแบ่งปัน ยิ่งคุณให้เท่าไหร่ ยิ่งได้กลับคืนหลายเท่านัก
ถ้าไม่เชื่อ ลองถามคุณ Pawawit & looking & Wizard Kid อิอิ!!
วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
น้ำตาลหมดห้าง แล้วเกี่ยวอะไรกับเรา??
วันก่อนผมไปเดินซื้อของที่โลตัส สังเกตเห็นว่าไม่มีน้ำตาลบนชั้นวางเลยแม้แต่ถุงเดียว จึงเกิดความสงสัยว่าทำไมไม่มีน้ำตาลเลยจึงเดินเข้าไปถามพนักงาน พนักงานตอบกลับมาว่า “น้ำตาลช่วงนี้ขาดตลาดครับ” ถ้าจะซื้อก็ต้องรอและซื้อได้ตามโควตาที่กำหนดไว้เท่านั้นซื้อเกินไม่ได้เดี๋ยวคนอื่นๆ ไม่ได้ซื้อ
คำถามที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ น้ำตาลมันมีไม่พอขายได้ยังไง ทั้งๆ ที่เมืองไทยปลูกอ้อยกันเป็นล้านไร่
ปัจจุบันหลายประเทศในโลกหันมาส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลและเอทธานอลกันมากขึ้น การผลิตเชื้อเพลิงพวกนี้จะผลิตมาจาก อ้อย มันสำปะหลัง และก็ยังมีผลิตผลทางการเกษตรที่สามารถนำไปผลิตไบโอดีเซลได้อีกหลายชนิด
เมื่อเครื่องยนต์มันมาแย่งซัพพลายในตลาดผลิตผลทางการเกษตรไป แต่คนยังต้องการใช้อาหารพวกนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อดีมานมันเยอะกว่ากำลังการผลิตสิ่งที่ตามมามันทำให้ราคาของผลิตผลทางการเกษตร อย่างเช่น อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากปริมาณของวัตถุดิบลดลงแล้วสิ่งที่ทำให้ราคาของสินค้าเกษตรสูงขึ้นและมีความผันผวนก็มาจากภัยธรรมชาติ
ปัจจัยของเรื่องภัยธรรมขาติ ทั้ง ฝนตกน้ำท่วม แห้งแล้ง อากาศหนาว พายุต่างๆ เหตุการณ์พวกนี้มันส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตและราคาของสินค้ากลุ่มนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณลองคิดดูหากวันใดวันหนึ่งประเทศนั้นเกิดไม่มีน้ำตาลขาย ไม่มีข้าวกิน มันจะเกิดอะไรขึ้น คำตอบเดียวที่ได้ก็คือ คงวุ่นวายกันน่าดู
ดีที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว (แต่ยังมีนักการเมืองฉ้อฉล^^) เรื่องแบบนี้จึงยังไม่รุนแรงมากนัก แต่ถ้าหากเป็นประเทศที่อยู่ท่ามกลางทะเลทราย แม้จะมีน้ำมันเยอะยังไงแต่ไม่มีข้าวกิน ตายแน่^^
กลับมาเรื่องของราคาน้ำตาล และราคาของสินค้าทางการเกษตรอีกหลายๆ ชนิด จากการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์หลายคนก็มองว่ามันจะยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน แม้ในระยะสั้นอาจจะมีการปรับตัวลงบ้าง แต่ในระยาวเชื่อว่าสินค้าเกษตรจะยังมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจกินเวลาหลายปีก็ได้ตามรอบของเศรษฐกิจในภาพใหญ่
ถ้ามองในภาพใหญ่ของเศรษฐกิจโลกเราจะพบว่าเศรษฐกิจของประเทศฝั่งตะวันตกทั้ง อเมริกาและยุโรปยังไม่ได้กลับมาแข็งแกร่งเช่นเดิมเหมือนก่อนช่วงปี 2008 และยิ่งการฟื้นตัวของประเทศกลุ่มนี้ช้าลงเท่าไหร่ โอกาสของเม็ดเงินที่จะย้ายจากการถือเงินดอลล่ามาสู่สินทรัพย์ในประเทศตลาดเกิดใหม่ซึ่งรวมทั้งเอเชียของเราด้วยยิ่งมีสูง นอกจากนี้ก็จะมีเงินบางส่วนเข้าไปเก็งกำไรในตลาดล่วงหน้าของสินค้าเกษตร
เงินที่เป็นส่วนเกินอยู่ในระบบพวกนี้จะเป็นตัวเร่งที่สำคัญที่จะทำให้ราคาของสินค้าเกษตรทั้งที่เป็นสินค้าจริงๆ และสินค้าที่เทรดกันในตลาดล่วงหน้าราคาสูงขึ้นไปได้อีก
แล้ววันนี้คุณเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงที่กำลังจะมาพร้อมโอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้แล้วหรือยัง เพราะไม่ว่าราคาจะผันผวนยังไงแต่หากเข้าใจเครื่องมือว่าใช้ล่าเหยื่อยังไงแล้วนั้นไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง คุณก็ยังจะเป็นคนที่สามารถอยู่รอดในตลาดได้^^
คำถามที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ น้ำตาลมันมีไม่พอขายได้ยังไง ทั้งๆ ที่เมืองไทยปลูกอ้อยกันเป็นล้านไร่
ปัจจุบันหลายประเทศในโลกหันมาส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลและเอทธานอลกันมากขึ้น การผลิตเชื้อเพลิงพวกนี้จะผลิตมาจาก อ้อย มันสำปะหลัง และก็ยังมีผลิตผลทางการเกษตรที่สามารถนำไปผลิตไบโอดีเซลได้อีกหลายชนิด
เมื่อเครื่องยนต์มันมาแย่งซัพพลายในตลาดผลิตผลทางการเกษตรไป แต่คนยังต้องการใช้อาหารพวกนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อดีมานมันเยอะกว่ากำลังการผลิตสิ่งที่ตามมามันทำให้ราคาของผลิตผลทางการเกษตร อย่างเช่น อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากปริมาณของวัตถุดิบลดลงแล้วสิ่งที่ทำให้ราคาของสินค้าเกษตรสูงขึ้นและมีความผันผวนก็มาจากภัยธรรมชาติ
ปัจจัยของเรื่องภัยธรรมขาติ ทั้ง ฝนตกน้ำท่วม แห้งแล้ง อากาศหนาว พายุต่างๆ เหตุการณ์พวกนี้มันส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตและราคาของสินค้ากลุ่มนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณลองคิดดูหากวันใดวันหนึ่งประเทศนั้นเกิดไม่มีน้ำตาลขาย ไม่มีข้าวกิน มันจะเกิดอะไรขึ้น คำตอบเดียวที่ได้ก็คือ คงวุ่นวายกันน่าดู
ดีที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว (แต่ยังมีนักการเมืองฉ้อฉล^^) เรื่องแบบนี้จึงยังไม่รุนแรงมากนัก แต่ถ้าหากเป็นประเทศที่อยู่ท่ามกลางทะเลทราย แม้จะมีน้ำมันเยอะยังไงแต่ไม่มีข้าวกิน ตายแน่^^
กลับมาเรื่องของราคาน้ำตาล และราคาของสินค้าทางการเกษตรอีกหลายๆ ชนิด จากการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์หลายคนก็มองว่ามันจะยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน แม้ในระยะสั้นอาจจะมีการปรับตัวลงบ้าง แต่ในระยาวเชื่อว่าสินค้าเกษตรจะยังมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจกินเวลาหลายปีก็ได้ตามรอบของเศรษฐกิจในภาพใหญ่
ถ้ามองในภาพใหญ่ของเศรษฐกิจโลกเราจะพบว่าเศรษฐกิจของประเทศฝั่งตะวันตกทั้ง อเมริกาและยุโรปยังไม่ได้กลับมาแข็งแกร่งเช่นเดิมเหมือนก่อนช่วงปี 2008 และยิ่งการฟื้นตัวของประเทศกลุ่มนี้ช้าลงเท่าไหร่ โอกาสของเม็ดเงินที่จะย้ายจากการถือเงินดอลล่ามาสู่สินทรัพย์ในประเทศตลาดเกิดใหม่ซึ่งรวมทั้งเอเชียของเราด้วยยิ่งมีสูง นอกจากนี้ก็จะมีเงินบางส่วนเข้าไปเก็งกำไรในตลาดล่วงหน้าของสินค้าเกษตร
เงินที่เป็นส่วนเกินอยู่ในระบบพวกนี้จะเป็นตัวเร่งที่สำคัญที่จะทำให้ราคาของสินค้าเกษตรทั้งที่เป็นสินค้าจริงๆ และสินค้าที่เทรดกันในตลาดล่วงหน้าราคาสูงขึ้นไปได้อีก
แล้ววันนี้คุณเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงที่กำลังจะมาพร้อมโอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้แล้วหรือยัง เพราะไม่ว่าราคาจะผันผวนยังไงแต่หากเข้าใจเครื่องมือว่าใช้ล่าเหยื่อยังไงแล้วนั้นไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง คุณก็ยังจะเป็นคนที่สามารถอยู่รอดในตลาดได้^^
วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
หุ้นเล็กร่วง หุ้นใหญ่นิ่ง คุณเห็นมั๊ยย!!!
เล่นหุ้นในช่วงปีที่ผ่านมาคงจะได้ยินแต่คนที่บอกว่า ผมทำกำไรเท่านั้น เท่านี้ บางคนเป็นสิบ เป็นร้อย และ บางคนก็หลายร้อยเปอร์เซ็น แต่เริ่มปีใหม่มาหนึ่งเดือนผมว่าคำพูดพวกนั้นเราไม่ค่อยได้ยินก็นใช่มั๊ยครับ!! เพราะอะไร ก็รู้ๆ กันอยู่ตลาดช่วงนี้สวิงกันน่าดูเลย ใครเพิ่งเข้าตลาดมาใหม่ๆ คงเสียค่าเรียนไปเยอะเลยนะผมว่า
ช่วงนี้ตลาดออกไซด์เวย์ ผมว่าหากใครสังเกตดีๆ คงเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างอย่างเห็นได้ชัดแน่นอน หุ้นที่เป็นกระแสที่รายย่อยเล่นกันเมื่อปลายปีที่แล้วร่วงระนาวววววว ^^ คงไม่ต้องยกตัวอย่างนะครับว่าคือ PTL AJ IVL อุ๊ยย หลุดเลยยย ฮ่าๆ (แต่ทำไมวันนี้มันขึ้นแรง เอ๊ะ^^)
หุ้นพวกนี้แรงจริงๆ ครับเมื่อปลายปีที่แล้ว โตมาหลายเด้ง แต่เมื่อตลาดหุ้นมันมีฝั่งที่ได้กำไรและฝั่งที่ขาดทุนเท่าๆ กันเสมอ (Zero sum game) คุณคิดว่าใครได้กำไรครับ ผมว่าใม่ใช่รายย่อยแน่ๆ รายย่อยโดนเชือดตลอด เสียทั้งเงิน เสียทั้งใจ แมงเม่าบางตัวตายต้องออกจากตลาดไป แมงเม่าบางตัวก็พัฒนาตัวเองจนย้ายมาอยู่ฝั่งที่ทำกำไร แต่ก็ยังมีอีกเยอะที่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ใครที่โดนช่วงนี้ไปเยอะก็ขอให้ทำใจดีๆ ไว้นะครับ หาความรู้เพิ่มเยอะๆ ตลาดไม่หนีไปไหน
กลับมาที่เรื่องคุณสังเกตเห็นอะไรมั๊ยช่วงนี้ !!! หุ้นพื้นฐานที่แข็งแกร่งราคาหลายตัว ทั้งกลุ่มพลังงาน ค้าปลีก ธนาคาร และเกษตร ราคายังยืนอยู่ได้ ไม่ได้ร่วงแรงอย่างหุ้นเล็กๆ ที่ขึ้นมาแรงๆ เมื่อปลายปีที่แล้ว
หุ้นใหญ่ช่วงนี้ค่อยๆ ถูกเก็บ ที่สังเกตได้ชัดเลยก็กลุ่มตะกูล P ราคาตัวแม่ค่อยๆ ขึ้นมาเรื่อยจาก 300 มา 320 แล้วก็มาถึง 340 ในที่สุด แต่หลายคนไม่ค่อยสนใจหุ้นอย่าง ปตต เพราะเห็นว่ามันโตช้า กำไรไม่ค่อยดี(ส่วนต่างราคา) มันก็จริงครับที่บอกว่าหุ้นตัวนี้ราคาวิ่งช้าไม่ทันใจ แต่ถ้าหากเอาความเสี่ยงมาคิดด้วยแล้วนั้น ตัวนี้เสี่ยงน้อยกว่าหุ้นเล็กที่วิ่งแรงงงๆ เยอะเลย กิจจการโตตามเศรษฐกิจของประเทศและก็อยู่ในตลาดผูกขาดด้วย
ผมว่าสุดท้ายแล้วยังไงหุ้นมันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท ถ้าบริษัทมันไม่ดีจริง ไม่สามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ ราคามันก็คงเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้อย่างแน่นอน
แต่ใช่ว่าเราจะสามารถทำกำไรได้กับหุ้นของบริษัทที่ดีเสมอไปนะครับ
บางทีหุ้นของบริษัทห่วยๆ กลับเป็นหุ้นที่ดีก็ได้ งงมั๊ยยย^^^
เอาไว้วันหลังจะมาเขียนเรื่อง Good Company VS Good Stock ??
ช่วงนี้ตลาดออกไซด์เวย์ ผมว่าหากใครสังเกตดีๆ คงเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างอย่างเห็นได้ชัดแน่นอน หุ้นที่เป็นกระแสที่รายย่อยเล่นกันเมื่อปลายปีที่แล้วร่วงระนาวววววว ^^ คงไม่ต้องยกตัวอย่างนะครับว่าคือ PTL AJ IVL อุ๊ยย หลุดเลยยย ฮ่าๆ (แต่ทำไมวันนี้มันขึ้นแรง เอ๊ะ^^)
หุ้นพวกนี้แรงจริงๆ ครับเมื่อปลายปีที่แล้ว โตมาหลายเด้ง แต่เมื่อตลาดหุ้นมันมีฝั่งที่ได้กำไรและฝั่งที่ขาดทุนเท่าๆ กันเสมอ (Zero sum game) คุณคิดว่าใครได้กำไรครับ ผมว่าใม่ใช่รายย่อยแน่ๆ รายย่อยโดนเชือดตลอด เสียทั้งเงิน เสียทั้งใจ แมงเม่าบางตัวตายต้องออกจากตลาดไป แมงเม่าบางตัวก็พัฒนาตัวเองจนย้ายมาอยู่ฝั่งที่ทำกำไร แต่ก็ยังมีอีกเยอะที่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ใครที่โดนช่วงนี้ไปเยอะก็ขอให้ทำใจดีๆ ไว้นะครับ หาความรู้เพิ่มเยอะๆ ตลาดไม่หนีไปไหน
กลับมาที่เรื่องคุณสังเกตเห็นอะไรมั๊ยช่วงนี้ !!! หุ้นพื้นฐานที่แข็งแกร่งราคาหลายตัว ทั้งกลุ่มพลังงาน ค้าปลีก ธนาคาร และเกษตร ราคายังยืนอยู่ได้ ไม่ได้ร่วงแรงอย่างหุ้นเล็กๆ ที่ขึ้นมาแรงๆ เมื่อปลายปีที่แล้ว
หุ้นใหญ่ช่วงนี้ค่อยๆ ถูกเก็บ ที่สังเกตได้ชัดเลยก็กลุ่มตะกูล P ราคาตัวแม่ค่อยๆ ขึ้นมาเรื่อยจาก 300 มา 320 แล้วก็มาถึง 340 ในที่สุด แต่หลายคนไม่ค่อยสนใจหุ้นอย่าง ปตต เพราะเห็นว่ามันโตช้า กำไรไม่ค่อยดี(ส่วนต่างราคา) มันก็จริงครับที่บอกว่าหุ้นตัวนี้ราคาวิ่งช้าไม่ทันใจ แต่ถ้าหากเอาความเสี่ยงมาคิดด้วยแล้วนั้น ตัวนี้เสี่ยงน้อยกว่าหุ้นเล็กที่วิ่งแรงงงๆ เยอะเลย กิจจการโตตามเศรษฐกิจของประเทศและก็อยู่ในตลาดผูกขาดด้วย
ผมว่าสุดท้ายแล้วยังไงหุ้นมันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท ถ้าบริษัทมันไม่ดีจริง ไม่สามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ ราคามันก็คงเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้อย่างแน่นอน
แต่ใช่ว่าเราจะสามารถทำกำไรได้กับหุ้นของบริษัทที่ดีเสมอไปนะครับ
บางทีหุ้นของบริษัทห่วยๆ กลับเป็นหุ้นที่ดีก็ได้ งงมั๊ยยย^^^
เอาไว้วันหลังจะมาเขียนเรื่อง Good Company VS Good Stock ??
วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
กราฟ PTL
จากกราฟ เราจะเห็นได้เลยว่า PTL มันหลุดแนวรับมาไกลพอสมควรเลย เส้นแนวรับถัดไปก็แถวๆ 25 บาทเลยครับ ใครอยู่บนดอยขอเสียงหน่อยยยยย ^^
ปล. แนวทางที่คุณคิดมันถูกมั๊ย ซื้อหุ้นตอนคนอยากซื้อ ขายหุ้นตอนคนอยากขาย???
ปล. แนวทางที่คุณคิดมันถูกมั๊ย ซื้อหุ้นตอนคนอยากซื้อ ขายหุ้นตอนคนอยากขาย???
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)