Like

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีการเลือกหุ้น "ยั่งยืน"อย่างง่ายๆ

วิธีการเลือกหุ้น "ดี"อย่างง่ายๆ

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าการเล่นหุ้นแบบVIหรือValue investerผู้ลงทุนจะลงทุนโดยเน้นการลงทุนระยะยาว
เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีพื้นฐานที่ดีและยั่งยืน(ดีต่อเนื่องกันเป็นเวลาอย่างน้อย5ปี)
โดยจะเข้าไปซื้อหุ้นตั่งแต่ตอนที่ธุรกิจยังไม่ได้เป็นจุดสนใจของนักวิเคราะห์ทั่วไปทำให้ยังมีราคาเทียบกับกำไรต่อหุ้น(PE)ต่ำหรือเหมาะสมและถือไว้เป็นเวลานานจนราคาของหุ้นตัวนั้นเป็นที่สนใจของตลาดและราคาขึ้นไปสูง


คำถามก็คือแล้วมือใหม่อย่างเราจะเริ่มที่หุ้นตัวไหนและจุดไหน?

เริ่มง่ายๆจากการวิเคราะห์ธุรกิจแบบลวกๆก่อน หากจะให้ได้เปรียบในการลงทุน ธุรกิจที่เราควรลงทุนต้องมีลักษณะง่ายๆคือ
1.ผลิตสินค้าเฉพาะ
2.ให้บริการที่เฉพาะ
3.เป็นผู้ซื้อหรือขายสินค้าหรือบริการที่เป็นที่ต้องการในราคาถูก

ยกตัวอย่างง่าย เครื่องดื่มโค๊ก มันเป็นสินค้าที่อยู่ในใจของผู้บริโภคไปแล้วและมันเป็นไปได้ยากที่ผู้บริโภคจะลืมมัน หรือจะเป็น เทสโก้ ที่สามารถรับสินค้าจำนวนมากได้ในราคาที่ถูกสุดๆและก็สามารถขายลูกค้าจำนวนมากได้ในราคาถูก

นั้นคือการวิเคราะห์ธุรกิจอย่างคล่าวๆว่าน่าลงทุนหรือไม่
และถ้าหากมันเป็นธุรกิจที่น่าสนใจเราก็เข้ามาในขั้นตอนการวิเคราะห์ที่ถือว่าเป็นหัวใจหลักของVIนั้นก็คือ การวิเคราะห์งบการเงิน


"Men read play boy. I read annual report"


งบที่ถูกนักวิเคราะห์ใช้กันเป็นประจำเลยคงหนีไม่พ้น งบกำไรขาดทุน งบดุล และ งบกระแสเงินสด

งบกำไรขาดทุน

ยอดขาย                       100
ต้นทุนขาย                       40
กำไรขั้นต้น                      60
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน    
ขาย ทั่วไป บริหาร             20 
วิจัยและพัฒณา                 10
กำไรจากการดำเนินงาน       30

สิ่งแรกที่พบในงบการเงินก็คือ ยอดขายเป็นตัวบอกว่าธุรกิจมีรายได้มากขนาดไหนแต่นั้นยังไม่ถือเป็นจุดสำคัญของยอดขายแต่สิ่งที่สำคัญของมันนั้นคือการเปรียบเทียบยอดขาย5ปีล่าสุดถ้าหากตัวเลขสม่ำเสมอจะถือได้ว่ามีความยั่งยืน หากสภาพเศรษฐกิจแย่รายได้ก็ไม่ได้ตกไปจากนี้มาก

สิ่งต่อมาก็คือ ต้นทุนขาย ที่นำมาหักออกจาก ยอดขาด นั้นคือ กำไรขั้นต้น แต่จุดสำคัญในจุดนี้่นั่นคือ ส่วนต่างกำไรขั้นต้น(กำไรขั้นต้น/ยอดขาย*100) ถ้าหากส่วนต่างกำไรขั้นต้น % มีค่ามากจะถือว่า ดี นั้นหมายถึง ธุรกิจนี้มีสินค้าหรือบริการที่เฉพาะเนื่องจาก การแข่งขั้นต่ำดูได้จากธุรกิจสามารถตั่งราคาให้สูงกว่าต้นทุนได้มาก (60%)

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ขาย ทั่วไป บริการ หากมีอัตราส่วน เทียบกับกำไรขั้นต้น หากได้สัดส่วนต่ำถือว่าดี เพราะถ้าสูงจนกระทั้งเกือบ100%นั้นหมายความว่า ค่าใช้จ่ายมันมากเกือบเท่ากำไรขั้นต้นที่เรามี เพราะในความเป็นจริงค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ธุรกิจต้องจ่ายอยู่แล้วไม่ว่าจะขายสินค้าได้มากหรือน้อย เพราะฉะนั้นถ้าหากเศรษฐกิจไม่ดีนั้นหมายความว่ากำไรจะลดลงจนอาจจะติดลบได้(20/60)*100=33.33%

ตอนนี้เราได้ธุรกิจที่ ดูเหมือนจะสวยหรูแต่บางธุรกิจที่สวยหรูที่เราคิดนั้นอาจจะกลายเป็นธุรกิจที่ไม่คุ้มค่าแก่การลงทุนไปทันที่หากมันมีค่าวิจัยและพัฒนาสูง คิดง่ายๆ ธุรกิจที่ต้องวิจัยตลอดเวลาเช่น คอมพิวเตอร์ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นสัดส่วนจากกำไรขั้นต้นเป็นจำนวนมากไปกับการวิจัยและพัฒนา แต่ถ้าหากเค้าไม่พัฒนา เครื่องคอมของเขาก็จะล้าหลังภายใน2ปี เพราะฉะนั้น บริษัทที่ มีค่าวิจัยสูงๆถือเป็นธุรกิจที่ไม่น่าลงทุนเพราะในระยะยาวธุรกิจแบบนี้จะเสียเปรียบแน่นอน

ก็ประมาณนี้ละกันนะคับ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบ
ผมเองก็มือใหม่ยังไงอ่านแล้วก็รบกวนติชมหน่อยละกันนะคับจะได้พัฒนากันต่อไป


2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ21 เมษายน 2554 เวลา 10:34

    สำหรับคนที่สนใจเรื่องการลงทุนในหุ้นอย่างยั่งยืน แนะนำหนังสือเรื่อง Warren Buffett and the Interpretation of Financial Statements ร้านหนังสือไทยมีขายทั่วไปครับ

    ตอบลบ
  2. ให้ความรู้ดีครับ ขอบคุณมากๆ

    ตอบลบ

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...