Like
วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ค่าตอบแทนผู้บริหาร ปี 2552
สำหรับข้อมูลฉบับเต็ม เข้าไปอ่านได้ที่
http://www.set.or.th/th/regulations/cg/files/2010/Remuneration_2552.pdf
วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553
โรเบิร์ต คิโยซากิ
แนะนำหน้าหน้า fanpage ของโรเบิร์ต คิโยซากิ คนที่เขียนหนังสือ Rich dad Poor dad
คนนี้ตอนเด็กๆ ก็อยู่ในครอบครัที่มีฐานะปานกลางแล้วเค้าทำอย่างไรถึงกลายมาเป็นเศรษฐีร้อยล้าน เข้าไปดูกันได้ครับ
วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553
รวมกิจการไปทำไม รวมแล้วได้อะไร
Merger and Acquisition
การควบรวมธุรกิจ รวมไปทำไม ?? รวมแล้วได้ประโยชน์อะไร สงสัยกันรึป่าว
ประโยชน์ของการควบรวม เริ่มจากถ้าเป็นธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันรวมกัน จากคู่แข่งที่ต้องต่อสู้แย่งชิงลูกค้ากลายมาเป็นพวกเดียวกัน เมื่อระดับการแข่งขันมันลดลงอำนาจการต่อลองของบริษัทหรือธุกิจก็ย่อมเพิ่มขึ้น^^ ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจก็ย่อมเพิ่ม ทั้งยังได้มาเก็ตแชร์หรือส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอีกด้วย เนื่องจากการเอาลูกค้าของแต่ละบริษัทที่ควบรวมมารวมกัน
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากเป็นบริษัทในกลุ่มที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง พวกคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ การเข้าไป take over หรือ การควบรวมแทบเป็นสูตรสำเร็จของการเติบโตแบบก้าวกระโดดเลยครับ ตัวอย่าง การที่บริษัทเซิร์จเอ็นจิ้นยักใหญ่ตัวย่อ G เข้าไปซื้อกิจการวิดีโอแชร์ Y แล้วกลายมาเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่สำคัญ ทำให้ขนาดของบริษัทโตและสามารถทำกำไร จากการขายโฆษณาได้อย่างมหาศาล
อีกรูปแบบของการรวมธุรกิจก็คือ การรวมแบบ Vertical ??
คือการรวมกันของธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ประโยชน์ของการรวมแบบนี้ที่สำคัญคือ หากธุรกิจด้านการผลิตต้องการตลาดเพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าให้มากขึ้น ก็จะเข้าไปซื้อหรือรวมกิจการกับธุรกิจ ค้าปลีก ตัวอย่างใกล้ๆ ตัวที่เราน่าจะได้เคยอ่านจากข่าวก็เช่น บริษัทผลิตทูน่ากระป๋อง T ไปซื้อบริษัทในยุโรป เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย จนกลายเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายทูน่ารายใหญ่ของโลก
หรือกลับกันถ้าพวก retail จะกลับไปซื้อบริษัทในด้านการผลิตเพื่อเป็นการลดต้นทุนหรือป้องกันการขาดแคลนของวัตถุดิบก็ได้เช่นกัน
แล้วรวมกันแล้วมันจะส่งผลกับราคาหุ้นยังไง นี่น่าจะเป็นคำถามที่น่าสนใจกว่าใช่มั๊ยครับ
ประโยชน์ที่ได้รับการจากรวมกันก็คือ
1. Economy of scale ต้นทุนในการผลิตต่ำลง
2. มาเก็ตแชร์เพิ่ม
3. ได้พนักงานที่มีความสามารถเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อบริษัทอย่างมาก
4. ช่องทางการขายมากขึ้น
5. คู่แข่งลดลง
6. อำนาจการต่อรองกับ supplier และ ผู้บริโภค มากขึ้น
7. ต้นทุนในการบริหารลดลง
นี่เป็นเพียงประโยชน์ 7 ข้อ จากการรวมกิจการ
แน่นอนว่ามีข้อดีย่อมต้องมีข้อเสีย
แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็น ไปซื้อบริษัทมาด้วยราคาที่แพงเกินไปสำหรับประโยชน์ที่จะได้รับหรือไม่
การควบรวมธุรกิจ รวมไปทำไม ?? รวมแล้วได้ประโยชน์อะไร สงสัยกันรึป่าว
ประโยชน์ของการควบรวม เริ่มจากถ้าเป็นธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันรวมกัน จากคู่แข่งที่ต้องต่อสู้แย่งชิงลูกค้ากลายมาเป็นพวกเดียวกัน เมื่อระดับการแข่งขันมันลดลงอำนาจการต่อลองของบริษัทหรือธุกิจก็ย่อมเพิ่มขึ้น^^ ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจก็ย่อมเพิ่ม ทั้งยังได้มาเก็ตแชร์หรือส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอีกด้วย เนื่องจากการเอาลูกค้าของแต่ละบริษัทที่ควบรวมมารวมกัน
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากเป็นบริษัทในกลุ่มที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง พวกคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ การเข้าไป take over หรือ การควบรวมแทบเป็นสูตรสำเร็จของการเติบโตแบบก้าวกระโดดเลยครับ ตัวอย่าง การที่บริษัทเซิร์จเอ็นจิ้นยักใหญ่ตัวย่อ G เข้าไปซื้อกิจการวิดีโอแชร์ Y แล้วกลายมาเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่สำคัญ ทำให้ขนาดของบริษัทโตและสามารถทำกำไร จากการขายโฆษณาได้อย่างมหาศาล
อีกรูปแบบของการรวมธุรกิจก็คือ การรวมแบบ Vertical ??
คือการรวมกันของธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ประโยชน์ของการรวมแบบนี้ที่สำคัญคือ หากธุรกิจด้านการผลิตต้องการตลาดเพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าให้มากขึ้น ก็จะเข้าไปซื้อหรือรวมกิจการกับธุรกิจ ค้าปลีก ตัวอย่างใกล้ๆ ตัวที่เราน่าจะได้เคยอ่านจากข่าวก็เช่น บริษัทผลิตทูน่ากระป๋อง T ไปซื้อบริษัทในยุโรป เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย จนกลายเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายทูน่ารายใหญ่ของโลก
หรือกลับกันถ้าพวก retail จะกลับไปซื้อบริษัทในด้านการผลิตเพื่อเป็นการลดต้นทุนหรือป้องกันการขาดแคลนของวัตถุดิบก็ได้เช่นกัน
แล้วรวมกันแล้วมันจะส่งผลกับราคาหุ้นยังไง นี่น่าจะเป็นคำถามที่น่าสนใจกว่าใช่มั๊ยครับ
ประโยชน์ที่ได้รับการจากรวมกันก็คือ
1. Economy of scale ต้นทุนในการผลิตต่ำลง
2. มาเก็ตแชร์เพิ่ม
3. ได้พนักงานที่มีความสามารถเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อบริษัทอย่างมาก
4. ช่องทางการขายมากขึ้น
5. คู่แข่งลดลง
6. อำนาจการต่อรองกับ supplier และ ผู้บริโภค มากขึ้น
7. ต้นทุนในการบริหารลดลง
นี่เป็นเพียงประโยชน์ 7 ข้อ จากการรวมกิจการ
แน่นอนว่ามีข้อดีย่อมต้องมีข้อเสีย
แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็น ไปซื้อบริษัทมาด้วยราคาที่แพงเกินไปสำหรับประโยชน์ที่จะได้รับหรือไม่
วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553
อัตราเงินเฟ้อ เดือน พฤศจิกายน
จากตารางเราจะเห็นว่าตัวเลขเงินเฟ้อของเดือนพฤศจิกายน
เงินเฟ้อรวมทุกหมวดอยู่ที่ 3.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบปีต่อปี
แต่เมื่อเราดูที่ ข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้งราคามันเฟ้อขึ้นกว่า 10.3% ยิ่งไปดูที่ผักและผลไม้ราคามันเฟ้อขึ้นกว่า 24.4% เยอะมากๆ ครับ
ในขณะที่ราคาของสินข้าวชนิดอื่นๆ ไม่ค่อยเฟ้อขึ้นมากนัก สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะสินค้าหลายๆ ชนิดรัฐบาลสามารถควยคุมราคาได้
ในขณะที่ ข้าว ผักและผลไม้ราคาผลไม้เพิ่มสูงขึ้นนั้นสาเหตุผลหลักๆ มาจากอุทกภัยในภาคอีสานและภาคกลาง ทำให้ซัพพลายลดลง ส่งผลให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
แหล่งที่มา เว็บไซด์กระทรวงพาณิชย์
http://www.price.moc.go.th/
วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553
พร้อมที่จะเป็นผู้ชนะแล้วรึยัง ???
Truly successful people never stop growing and learning
คนที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้และเติบโต
หากถามว่างานหลักๆ ของ บัฟเฟต ในแต่ละวันทำอะไร คำตอบที่ได้คือ อ่าน อ่านงบการเงิน อ่านบทวิเคราะห์
หากถามว่างานหลักๆ ของ พี่หยง ในแต่ละวันทำอะไร คำตอบที่ได้คือ อ่านกราฟ อ่านเทรน
หากถามว่างานหลักๆ ของ พี่แพท ในแต่ละวันทำอะไร คำตอบที่ได้คือ อ่านเกมส์ขาด (จริงมั๊ย..วัดจากกำไรที่ทำได้)
หากถามว่างานหลักๆ ของ พี่ป้อม ในแต่ละวันทำอะไร คำตอบที่ได้คือ ดูฟันโฟล แล้วนั่งชิว ฮ่าๆ
ในขณะที่นักลงทุนทั่วไป(มือสมัครเล่น) รอฟังหุ้นเด็ด หุ้นสุดยอด ไม่อ่าน ไม่วิเคราะห์ ถ้าอ่านก็อ่าน... ข่าวดารา ช่าวบันเทิง anything
เมื่อสิ่งที่ทำในแต่ละวันมันแตกต่างกัน ผลลัพธ์และกำไรที่ได้มันกย่อมต่างกันแน่นอน เพราะการกระทำของเราในวันนี้เป็นสิ่งที่บอกว่าในอนาคตเราจะเป็นอย่างไง
การจะประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่อง ไม่มีทางลัดมันต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเวลา กำลังกาย กำลังใจ และที่สำคัญหากจะประสบความสำเร็จด้านการลงทุน กำลังเงินก็เป็นสิ่งสำคัญ
กฎที่สำคัญที่สุดข้อนึง ก็คือ ห้ามเสีย หรือ ห้ามขาดทุน
ในเรื่องการลงทุนนั้นมีคนมากมายที่ประสบความสำเร็จสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลในช่วงสั้นๆ แต่มีน้อยคนที่จะสามารถรักษาประสิทธิภาพระดับสุดยอดได้อย่างยาวนาน
วิธีการหนึ่งที่จะทำให้คนที่ประสบความสำเร็จสามารถรักษาระดับผลตอบแทนไว้ได้อย่างต่อเนื่องก็คือ การพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา โดยคนกลุ่มนี้จะยัดแนวทางของตัวเองอย่างชัดเจนไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และปรับข้อผิดพลาดของตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพราะการลงทุนแต่ละสไตร์มันก็มีข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง
ดังนั้นจึงต้องปรับระบบเทรด ปรับวิธีเลือกหุ้น ปรับอารมณ์ไม่ให้หวั่นไหวง่ายๆ เพราะสถานการณ์มันเปลี่ยงแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะ uptrend downtrend หรือ sideway
อีกลักษณะนิสัยที่สำคัญของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จก็คือ จะเป็นคนที่มีความอดทนและมีวินัยสูง
จะรอจังหวะที่มั่นใจจริงๆ แล้วค่อยทำการซื้อขาย จะไม่ปล่อยการซื้อขายไปตามอารมณ์
เมื่อมั่นใจและเห็นโอกาส ก็จัดไปเลยยครับบบ (แต่ไม่ใช่ว่ามีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถนะครับ)
เพราะในแต่ละโอกาสมันยังมีความเสี่ยงอยู่ แม้จะน้อยลงก็ตามจากประสบการณ์และสัญญาณซื้อขายของแต่ละแนวทาง
คำถามที่สำคัญอีกข้อก็คือ แล้ววันนี้คุณพัฒนาตัวเองอยู่รึป่าว พร้อมที่จะเป็นผู้ชนะแล้วรึยัง ???
คนที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้และเติบโต
หากถามว่างานหลักๆ ของ บัฟเฟต ในแต่ละวันทำอะไร คำตอบที่ได้คือ อ่าน อ่านงบการเงิน อ่านบทวิเคราะห์
หากถามว่างานหลักๆ ของ พี่หยง ในแต่ละวันทำอะไร คำตอบที่ได้คือ อ่านกราฟ อ่านเทรน
หากถามว่างานหลักๆ ของ พี่แพท ในแต่ละวันทำอะไร คำตอบที่ได้คือ อ่านเกมส์ขาด (จริงมั๊ย..วัดจากกำไรที่ทำได้)
หากถามว่างานหลักๆ ของ พี่ป้อม ในแต่ละวันทำอะไร คำตอบที่ได้คือ ดูฟันโฟล แล้วนั่งชิว ฮ่าๆ
ในขณะที่นักลงทุนทั่วไป(มือสมัครเล่น) รอฟังหุ้นเด็ด หุ้นสุดยอด ไม่อ่าน ไม่วิเคราะห์ ถ้าอ่านก็อ่าน... ข่าวดารา ช่าวบันเทิง anything
เมื่อสิ่งที่ทำในแต่ละวันมันแตกต่างกัน ผลลัพธ์และกำไรที่ได้มันกย่อมต่างกันแน่นอน เพราะการกระทำของเราในวันนี้เป็นสิ่งที่บอกว่าในอนาคตเราจะเป็นอย่างไง
การจะประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่อง ไม่มีทางลัดมันต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเวลา กำลังกาย กำลังใจ และที่สำคัญหากจะประสบความสำเร็จด้านการลงทุน กำลังเงินก็เป็นสิ่งสำคัญ
กฎที่สำคัญที่สุดข้อนึง ก็คือ ห้ามเสีย หรือ ห้ามขาดทุน
ในเรื่องการลงทุนนั้นมีคนมากมายที่ประสบความสำเร็จสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลในช่วงสั้นๆ แต่มีน้อยคนที่จะสามารถรักษาประสิทธิภาพระดับสุดยอดได้อย่างยาวนาน
วิธีการหนึ่งที่จะทำให้คนที่ประสบความสำเร็จสามารถรักษาระดับผลตอบแทนไว้ได้อย่างต่อเนื่องก็คือ การพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา โดยคนกลุ่มนี้จะยัดแนวทางของตัวเองอย่างชัดเจนไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และปรับข้อผิดพลาดของตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพราะการลงทุนแต่ละสไตร์มันก็มีข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง
ดังนั้นจึงต้องปรับระบบเทรด ปรับวิธีเลือกหุ้น ปรับอารมณ์ไม่ให้หวั่นไหวง่ายๆ เพราะสถานการณ์มันเปลี่ยงแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะ uptrend downtrend หรือ sideway
อีกลักษณะนิสัยที่สำคัญของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จก็คือ จะเป็นคนที่มีความอดทนและมีวินัยสูง
จะรอจังหวะที่มั่นใจจริงๆ แล้วค่อยทำการซื้อขาย จะไม่ปล่อยการซื้อขายไปตามอารมณ์
เมื่อมั่นใจและเห็นโอกาส ก็จัดไปเลยยครับบบ (แต่ไม่ใช่ว่ามีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถนะครับ)
เพราะในแต่ละโอกาสมันยังมีความเสี่ยงอยู่ แม้จะน้อยลงก็ตามจากประสบการณ์และสัญญาณซื้อขายของแต่ละแนวทาง
คำถามที่สำคัญอีกข้อก็คือ แล้ววันนี้คุณพัฒนาตัวเองอยู่รึป่าว พร้อมที่จะเป็นผู้ชนะแล้วรึยัง ???
วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Technical Analysis คืออะไร ใช้ได้เมื่อไหร่ ??
Technical Analysis คืออะไร ใช้ได้เมื่อไหร่ ??
การวิเคราห์ทางเทคนิคเป็นการศึกษารูปแบบของราคาและปริมาณการซื้อขายของหุ้นย้อนหลัง เพื่อคาดการณ์ว่าแนวโน้มของราคาจะไปยังไงในอนาคต การใช้ข้อมูลในอดีตมาทำนายอนาคต นักเทคนิคมีความเชื่อว่าประวัติศาสตร์มันจะต้องเกิดซ้ำรอย ไม่ว่าจะขึ้นหรือจะลง เพราะอารมณ์ นิสัย ความกลัว ความกล้า ของคนเล่นหุ้นไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่
สมมติฐานในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
1. Price discount everything หรือ ราคาได้ปรับตามข่าวหรือข้อมูลทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปแล้ว
2. Price move in trend ราคาหุ้นจะปรับไปตามแนวโน้มหลักๆ ของมัน แต่ในเทรนหลักๆ จะมีเทรนย่อยๆ เกิดขึ้นด้วย ซึ่งเทรนได้แบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ Uptrend Downtrend Sideway
3. History repeat itself ราคาหุ้นจะเกิดรูปแบบคล้ายๆกับราคาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพราะพฤติกรรมของนักลงทุนไม่เคยเปลี่ยน
เสริมอีกนิด การจะใช้เทคนิคมาใช้อย่างได้ผลหุ้นตัวนั้นจะ
หุ้นตัวนั้นจะต้องเป็นหุ้น market cap ใหญ่พอสมควร เพราะหุ้นจะมีคนเทรดจำนวนมาก(มีคนหลายประเภท คิดต่างกัน)ทำให้มีสภาพคล่อง เมื่อคนเยอะเทคนิคคัล ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ได้ผล ตามทฤษฏี Market Efficient
มาดูกราฟกันว่าหุ้นมันมีเทรนจริงมั๊ย
การวิเคราห์ทางเทคนิคเป็นการศึกษารูปแบบของราคาและปริมาณการซื้อขายของหุ้นย้อนหลัง เพื่อคาดการณ์ว่าแนวโน้มของราคาจะไปยังไงในอนาคต การใช้ข้อมูลในอดีตมาทำนายอนาคต นักเทคนิคมีความเชื่อว่าประวัติศาสตร์มันจะต้องเกิดซ้ำรอย ไม่ว่าจะขึ้นหรือจะลง เพราะอารมณ์ นิสัย ความกลัว ความกล้า ของคนเล่นหุ้นไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่
สมมติฐานในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
1. Price discount everything หรือ ราคาได้ปรับตามข่าวหรือข้อมูลทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปแล้ว
2. Price move in trend ราคาหุ้นจะปรับไปตามแนวโน้มหลักๆ ของมัน แต่ในเทรนหลักๆ จะมีเทรนย่อยๆ เกิดขึ้นด้วย ซึ่งเทรนได้แบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ Uptrend Downtrend Sideway
3. History repeat itself ราคาหุ้นจะเกิดรูปแบบคล้ายๆกับราคาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพราะพฤติกรรมของนักลงทุนไม่เคยเปลี่ยน
เสริมอีกนิด การจะใช้เทคนิคมาใช้อย่างได้ผลหุ้นตัวนั้นจะ
หุ้นตัวนั้นจะต้องเป็นหุ้น market cap ใหญ่พอสมควร เพราะหุ้นจะมีคนเทรดจำนวนมาก(มีคนหลายประเภท คิดต่างกัน)ทำให้มีสภาพคล่อง เมื่อคนเยอะเทคนิคคัล ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ได้ผล ตามทฤษฏี Market Efficient
มาดูกราฟกันว่าหุ้นมันมีเทรนจริงมั๊ย
basic rules of volume
basic rules of volume
จากหนังสือ Timing the Market
ได้เขียนอธิบายเรื่อง Volume ไว้ว่า
The basic rules of the volume analysis are as follows :
1. When prices are rising and volume is increasing, the present trend will continue, i.e., the price will continue to rise.
เมื่อราคาเพิ่มโดยที่วอลุ่มเพิ่มขึ้นด้วย ราคาก็มีแนวโน้มที่จะขึ้นต่อ
2. When prices are rising and volume is decreasing, the present trend is not likely to continue, i.e., the price will rise decelerate and then turn downward.
ในขณะที่เมื่อราคาเพิ่มแต่วอลุ่มหาย หุ้นมันจะขึ้นแต่ไม่ขึ้นจริง จึ้นเพื่อหรอกแมงเม่าไปติดดอย ฮ่าๆๆ
3. When prices are falling and volume is increasing, the present trend will continue, i.e., prices will continue to fall.
กลับกันถ้าราคาลงแล้ววอล่มเพิ่มเข้ามาเยอะๆ เนี่ย มันจะเป็นการยืนยันครับว่าลงจริงๆ
4. When prices are falling and volume is decreasing, the present trend is not likely to continue, i.e., the prices decline will decelerate and then prices will turn upward.
ถ้าราคาลงแล้ววอลุ่มน้อยด้วย มันอาจจะเป็นจุดกลับตัวเปลี่ยนเป็นขาขึ้น
5. When volume is not rising or falling, the effect on price is neutral.
แต่ถ้าวอลุ่มไม่ค่อยมีราคาก็ไม่ค่อยไปไหน ออกทาง sideway
มาดูตัวอย่างกราฟ ราคา กับวอลุ่ม กัน
วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553
จอร์จ โซรอส
มาทำความรู้จักกับผู้ชายที่ถูกเรียกว่าพ่อมดทางการเงิน นายจอร์จ โซรอส
ตามไปอ่านต่อที่ลิ้งนี้
http://th.wikipedia.org/wiki/จอร์จ_โซรอส
อันนี้เป็นเว็บอย่างเป็นทางการของ โซรอส
http://georgesoros.com/
ตามไปอ่านต่อที่ลิ้งนี้
http://th.wikipedia.org/wiki/จอร์จ_โซรอส
อันนี้เป็นเว็บอย่างเป็นทางการของ โซรอส
http://georgesoros.com/
วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Trading for a living
“Good traders tend to be hard working. The goal of a good trader is not to make money. His goal is to trade well. If he trades right, money follows almost as an afterthought.” Trading for a Living
สิ่งที่ได้มาง่ายๆ แน่นอนมันย่อมเสียไปง่ายเช่นกัน
กำไรในตลาดหุ้นก็เหมือนกัน วันนี้คุณอาจได้มันมาโดยที่ไม่ได้ใช้ความรู้จริงๆ ของคุณเอามันมา แน่นอนในอนาคตหากไม่พัฒนาตัวเองให้มากขึ้น
ตลาดหุ้นจากกลับมาเอาเงินจากคุณแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว...(มันเป็นกฏธรรมชาติ ฮ่าๆ มีได้มากก็มีเสียมาก)
เทรดเดอร์ไม่ใช่อาชีพที่จะได้เงินมาง่ายๆ แม้ว่าอาจจะไม่ต้องเหนื่อยเพื่อออกแรงไปแลกเงิน แต่ถ้าหากไม่รู้วิธีการหาเงิน(เทรดที่ถูกต้อง) รับรองเสียเงิน ชัวววร์...
เพราะการซื้อขายของนักเก็งกำไร (ระยะสั้น) นั้น โอกาสผิดพลาดมีสูงมาก สิ่งสำคัญต้องมีสติอยู่กับตัว
ให้ดูว่าตลาดเป็นไปอย่างไร ไม่ใช่ว่าเราอยากให้ตลาดเป็นไปยังไง มันต้องอยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่หวัง ฮ่าๆๆ
นอกจากจะไม่ใช่งานง่ายแล้ว กว่าจะได้ตังก็เสี่ยงใช่เล่น
แต่สิ่งที่อยู่ในสายเลือดของเทรดเดอร์ แทบทุกคนก็ว่าได้คือ คนพวกนี้เป็นพวกต้องการเอาชนะ ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
ถ้าแพ้วันนี้ แล้วพรุ่งนี้จะทำยังไงให้ชนะ คนพวกนี้จะหาทางให้ตัวเองชนะให้ได้ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
แล้ววันนี้คุณพร้อมจะเป็นผู้ชนะในสงครามแห่งทุนนิยม นี้แล้วรึยัง...คำตอบอยู่ในใจคุณแล้วววครับ
95 percent of trader are men.
Brokerage house records show that most traders male, 95 percent of trader are men.
Why??
จากการสำรวจของฝรั่งพบว่าเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จกว่า 95 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้ชาย เพราะอะไร??
เพราะถ้าเปรียบแล้วการเทรดก็เหมือนกับกีฬา ที่มีความเสี่ยงสูงๆ เช่น ขับรถแข่ง ดำน้ำ เอ็กทรีม... มีผู้หญิงน้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จกับกีฬาประเภทเหล่านี้ ที่สำคัญนักกีฬาแต่ละประเภทต้องผ่านการซ้อมในสนามจำลองก่อนอย่างนัก
เมื่อมั่นใจแล้วพวกนักกีฬาเหล่านี้จึงจะออกไปเล่นในสนามจริงเท่านั้น
เพราะถ้าไม่พร้อม หรือไม่ฟิตจริงๆ มันอาจอันตรายถึงชีวิตได้จริงๆ
การเป็นเทรดเดอร์ก็เหมือนกันครับ หลายคนอาจคิดว่าการทำกำไรในตลาดมันง่าย เพราะก็เห็นมีแต่คนได้กำไรกันเยอะแยะ
แต่ความจริงมันโหดร้ายมากกว่าภาพที่หลายๆ คนวาดฝันไว้ การเล่นหุ้นหรือการเทรดนั้นมีคนน้อยมากที่ประสบความสำเร็จในระดับที่อยู่ด้วยการเทรดเพื่อเลี้ยงตัวเองได้
เพราะอะไรทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในการเทรด??????
(ถ้าอยากลองฝึกเทรดหุ้น หรือ TFEX เข้าไปฝึกใน set click2win ก่อนได้ครับ)
เพราะคนส่วนใหญ่ ยังใช้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องในการเทรดเค้าเหล่านั้นไม่ได้เทรดตามเครื่องมือหรือวิธีการเทรดที่ได้กำหนดไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มต้น
อีกเหตุผลก็มีเรื่อง money management เพราะการเทรดในแต่ละครั้งความเสี่ยงไม่เท่ากัน และหลายครั้งที่มือสมัครเล่นไม่ได้ปรับขนาดของเงินตามความเสี่ยงที่ได้เทรดไป ซึ่งนี่เป็นเพียง
สองเหตุผลที่ทำให้มือสมัครเล่นไม่สามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนในตลาด ยังมีอีกหลายเหตุผลลองไปอ่านหนังสือเล่มนี้ดูนะครับ
Trading for a Living ลองไปหาใน google ดูครับ
คนพร้อมเท่านั้นที่จะสามารถทำกำไรได้อย่างยั่งยืน
Why??
จากการสำรวจของฝรั่งพบว่าเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จกว่า 95 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้ชาย เพราะอะไร??
เพราะถ้าเปรียบแล้วการเทรดก็เหมือนกับกีฬา ที่มีความเสี่ยงสูงๆ เช่น ขับรถแข่ง ดำน้ำ เอ็กทรีม... มีผู้หญิงน้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จกับกีฬาประเภทเหล่านี้ ที่สำคัญนักกีฬาแต่ละประเภทต้องผ่านการซ้อมในสนามจำลองก่อนอย่างนัก
เมื่อมั่นใจแล้วพวกนักกีฬาเหล่านี้จึงจะออกไปเล่นในสนามจริงเท่านั้น
เพราะถ้าไม่พร้อม หรือไม่ฟิตจริงๆ มันอาจอันตรายถึงชีวิตได้จริงๆ
การเป็นเทรดเดอร์ก็เหมือนกันครับ หลายคนอาจคิดว่าการทำกำไรในตลาดมันง่าย เพราะก็เห็นมีแต่คนได้กำไรกันเยอะแยะ
แต่ความจริงมันโหดร้ายมากกว่าภาพที่หลายๆ คนวาดฝันไว้ การเล่นหุ้นหรือการเทรดนั้นมีคนน้อยมากที่ประสบความสำเร็จในระดับที่อยู่ด้วยการเทรดเพื่อเลี้ยงตัวเองได้
เพราะอะไรทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในการเทรด??????
(ถ้าอยากลองฝึกเทรดหุ้น หรือ TFEX เข้าไปฝึกใน set click2win ก่อนได้ครับ)
เพราะคนส่วนใหญ่ ยังใช้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องในการเทรดเค้าเหล่านั้นไม่ได้เทรดตามเครื่องมือหรือวิธีการเทรดที่ได้กำหนดไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มต้น
อีกเหตุผลก็มีเรื่อง money management เพราะการเทรดในแต่ละครั้งความเสี่ยงไม่เท่ากัน และหลายครั้งที่มือสมัครเล่นไม่ได้ปรับขนาดของเงินตามความเสี่ยงที่ได้เทรดไป ซึ่งนี่เป็นเพียง
สองเหตุผลที่ทำให้มือสมัครเล่นไม่สามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนในตลาด ยังมีอีกหลายเหตุผลลองไปอ่านหนังสือเล่มนี้ดูนะครับ
Trading for a Living ลองไปหาใน google ดูครับ
คนพร้อมเท่านั้นที่จะสามารถทำกำไรได้อย่างยั่งยืน
วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Single License : คำสั่งซื้อขาย
นอกจากราคาที่เรากดซื้อๆ ขายๆ กันแล้วมาดูกันครับว่ามีคำสั่งอะไรบ้างที่สามารถส่งเข้าไปในระบบเพื่อทำการซื้อขายได้บ้าง
MP (Market Price) เป็นคำสั่งที่ใช้เมื่อต้องการซื้อขาย ทันที ที่ราคาที่ดีที่สุดขณะนั้น
ATO (At The Open) คำสั่งนี้จะทำการซื้อขายทันทีเมื่อเปิดตลาด
ATC (At The Close) คำสั่งนี้จะทำการซื้อขายเมื่อปิดตลาด ราคาปิดสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ตั่งแต่เวลา 16.30น. ถึงเวลาปิด
IOC (Immediate or Cancel) คำสั่งที่ให้ซื้อขายตามราคาที่นักลงทุนได้ระบุไว้ในขณะนั้น โดยทันที ถ้าซื้อขายไม่ได้ตามจำนวนที่ต้องการ ส่วนที่เหลือจะถูกยกเลิก
FOK (Fill or Kill) คำสั่งที่ให้ซื้อขายตามราคาที่นักลงทุนได้ระบุไว้ในขณะนั้น โดยต้องการให้ได้ทั้งจำนวน ถ้าซื้อได้ไม่ครบตามจำนวนที่ต้องการ จะยกเลิกคำสั่งนั้น
วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Single License : ขั้นตอนการลงทุน
ทำไมต้องลงทุน? ทำไมต้องวางแผน??
ก่อนที่จะตอบคำถามนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการลงทุนกันครับ
สิ่งที่นักลงทุนทุกคนควรจะรู้ ไม่ใช่อื่นไกล ต้องรู้จักตัวเองก่อนสงสัยมั๊ยทำไมเราต้องรู้จักตัวเอง สิ่งที่สำคัญที่เราต้องรู้เรื่องแรกก็คือเรารู้รึป่าวว่าเรารับความเสี่ยงได้ขนาดไหน ไม่ใช่ว่าเราต้องการกำไรเท่าใหร่นะครับ กำไรมันมาเป็นเรื่องรอง
ระดับความเสี่ยงของนักลงทุนก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น อายุ การศึกษา เพศ ความมันคงและมั่งคั่งในปัจจุบัน
ขั้นต่อไปก็คือ เราต้องกำหนดเป้าหมายในการลงทุน
เพราะจะทำอะไรก็ต้องเป้าหมาย การลงทุน การเล่นหุ้นก็เหมือนกันต้องมีเป้าหมาย การกำหนดเป้าหมายที่ดีต้องวัดได้ด้วยครับ เช่น จะลงทุนกี่วัน เดือน ปี หรือนานเท่าไหร่ จะเอากำไรที่ได้ไปทำอะไร ถ้ายังไม่รู้อย่าซื้อหุ้น... สำคัญมาก
ขั้นต่อไปก็มาจัดพอร์ต จะลงหุ้นกลุ่มไหน สัดส่วนก็เลือกเลยครับ ตามที่ตัวเองจะรับความเสี่ยงได้
ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อยก็เอาเงินไปฝากแบงค์กินดอก (แต่มันก็ยังเสี่ยงจากเงินเฟ้ออยู่ดี)
ถ้ารับความเสี่ยงได้สูงมาก ก็หุ้นปั่น เชื่อว่าตลาดหุ้นเมืองไทยปั่นกันเยอะโคตรรร ฮ่าๆๆ ระวังครับ
ปรับให้เหมาะสมกับตัวเองเสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย ไม่ว่ากัน
ถ้ากำไรน้อยหรือขาดทุนให้หยุดเทรด ออกมาหาความรู้ก่อนครับ เพราะตลาดไม่เคยหนีไปไหน
ขั้นตอนสุดท้าย เมื่อลงทุนไปได้ซักระยะหนึ่งก็ต้องมาทบทวนและปรับวิธีการเทรด
ถ้าผลตอบแทนมันไม่เป็นไปตามคาด ก็ต้องมานั่งวิเคราะห์ครับว่าเราพลาดตรงไหน วิธีเราผิดหรือว่าตลาดหุ้นผิด
เชื่อเถอะครับว่าตลาดหุ้นมันไม่เคยผิดมีแต่เราที่เลือกผิด
วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Single License : Financial ???
วันนี้มาทำความรู้จะกับตลาดการเงิน(Financial Market) กันว่าเป็นยังไงกันบ้าง
ตลาดการเงินมีหน้าที่เป็นคนกลางที่คอยเชื่อมระหว่างคนที่อยากใช้เงินมาเจอกับคนที่มีเงินเหลือหรือเรียกว่านักลงทุน ซึ่งตลาดการเงินสามารถแยกประเภทของตลาดตามอายุของตราสารที่ออกขายได้ดังนนี้
ตลาดที่ทำการซื้อขายตราสารอายุสั้นไม่เกิน 1 ปี จะเรียนว่าตลาดเงิน (Money Market) ตราสารทางการเงินที่ซื้อขายในตลาดนี้ได้แก่ ตั๋วแลกเงิน เงินฝาก เป้าหมายของตลาดนี้ก็เพื่อทำให้เกิดสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ
ในขณะที่ตลาดที่มีการซื้อขายตราสารทางการเงินระยะเวลาที่มากกว่า 1 ปีขึ้นไป จะเรียกว่า ตลาดทุน (Capital Market) ตราสารทางการเงินที่ทำการซื้อขายในตลาดนี้ได้แก่ หุ้น หุ้นกู้ พันธบัตรระยะยาว
ซึ่งตลาดทุนยังแบ่งเป็นตลาดแรก(Primary Market) กับตลาดรอง(Secondary Market)
ความหมายของตลาดแรกก็คือ มันมีไว้ใช้ระดมทุน ก็พวกที่ขาย IPO ก็จะระดมทุนผ่านตลาดนี้แหละ เงินที่ขายได้บริษัทก็จะได้เอาไปลงทุนในโครงการทุนเค้าได้บอกไว้ก่อนที่จะทำ IPO
ส่วนตลาดรองก็คือ ตลาดหุ้นที่เราซื้อๆ ขายๆ หุ้น(หุ้นสามัญ) กันอยู่นี่เอง สร้างขึ้นมาเพื่อทำให้หุ้นที่ขายในตลาดแรกมันมีสภาพคล่อง ทำให้เงินหมุนในระบบ
อีกทั้งยังหมุนไปสู่กระเป๋าตังของคนที่เข้าใจวิธีหาเงินในตลาดหุ้น
แล้ววันนี้คุณเข้าใจวิธีการหาเงินในตลาดหุ้นรึยัง
ตลาดการเงินมีหน้าที่เป็นคนกลางที่คอยเชื่อมระหว่างคนที่อยากใช้เงินมาเจอกับคนที่มีเงินเหลือหรือเรียกว่านักลงทุน ซึ่งตลาดการเงินสามารถแยกประเภทของตลาดตามอายุของตราสารที่ออกขายได้ดังนนี้
ตลาดที่ทำการซื้อขายตราสารอายุสั้นไม่เกิน 1 ปี จะเรียนว่าตลาดเงิน (Money Market) ตราสารทางการเงินที่ซื้อขายในตลาดนี้ได้แก่ ตั๋วแลกเงิน เงินฝาก เป้าหมายของตลาดนี้ก็เพื่อทำให้เกิดสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ
ในขณะที่ตลาดที่มีการซื้อขายตราสารทางการเงินระยะเวลาที่มากกว่า 1 ปีขึ้นไป จะเรียกว่า ตลาดทุน (Capital Market) ตราสารทางการเงินที่ทำการซื้อขายในตลาดนี้ได้แก่ หุ้น หุ้นกู้ พันธบัตรระยะยาว
ซึ่งตลาดทุนยังแบ่งเป็นตลาดแรก(Primary Market) กับตลาดรอง(Secondary Market)
ความหมายของตลาดแรกก็คือ มันมีไว้ใช้ระดมทุน ก็พวกที่ขาย IPO ก็จะระดมทุนผ่านตลาดนี้แหละ เงินที่ขายได้บริษัทก็จะได้เอาไปลงทุนในโครงการทุนเค้าได้บอกไว้ก่อนที่จะทำ IPO
ส่วนตลาดรองก็คือ ตลาดหุ้นที่เราซื้อๆ ขายๆ หุ้น(หุ้นสามัญ) กันอยู่นี่เอง สร้างขึ้นมาเพื่อทำให้หุ้นที่ขายในตลาดแรกมันมีสภาพคล่อง ทำให้เงินหมุนในระบบ
อีกทั้งยังหมุนไปสู่กระเป๋าตังของคนที่เข้าใจวิธีหาเงินในตลาดหุ้น
แล้ววันนี้คุณเข้าใจวิธีการหาเงินในตลาดหุ้นรึยัง
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ทำไมขึ้นดอกเบี้ยแล้วหุ้นขึ้น???
ในตำราเศรษฐศาสตร์เกือบทุกเล่ม
บอกว่าเมื่อธนาคารกลางประกาศขึ้นดอกเบี้ย หุ้นจะตกเพราะเงินในระบบจะถูกดูดกลับเข้าคลัง
แต่ว่าทำไมสัปดาห์ที่ผ่านมา แบงค์ชาติประการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.75% เป็น 2% ทำไมหุ้นขึ้น
สงสัยกันมั๊ย... ผมก็สงสัย
นักเศรษฐศาสตร์ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับนโยบายที่แบงค์ชาติได้ออกมาว่า เพราะดอกเบี้ยที่ขยับขึ้นเป็น 2% นั้นยังถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรกับอัตราผลตอบแทนในตลาดหุ้นก็ยังมีส่วนต่างกันอยู่ค่อยข้างมาก อีกทั้งยังมองกันว่าหุ้นไทยยังไปได้อีกไกล
เนื่องจากเงินจะไหลเข้ามาเอเชียอีกเยอะ ซึ่งจะเข้าไปทั้งตลาดพันธบัตร ตลาดหุ้น อสังหาและสินทรัพย์อื่นๆ
แต่ถ้าหากดอกเบี้ยนโยบายสูงกว่านี้ แล้วแบงค์ชาติปรับขึ้นจะทำให้ผลตอบแทนในตลาดในตลาดพันธบัตรซึ่งความเสี่ยงต่ำมาก มีผลตอบแทนต่างกับตลาดหุ้นไม่มากนักแต่มีความเสี่ยงสูงกว่ามาก
ถ้าเป็นกรณีเช่นนี้จะทำให้เงินทุนไหลไปตลาดพันธบัตรหุ้นก็ตกซิครับ(สมมติว่ามีเงินก้อนเดียว แล้วโยกไปที่ๆ ให้ผลตอบแทนสูงกว่านะครับ)
ดังนั้นถ้าดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำอย่างนี้
เชื่อว่าเงินต้องไหลมากตลาดหุ้นอีกแน่นอนครับ ขั้นต่อไปก็คือหาหุ้นดีๆ เก็บไว้แล้ว Let’s profit run
Chula InvestClub
http://www.facebook.com/pages/Chula-...59973474044837
บอกว่าเมื่อธนาคารกลางประกาศขึ้นดอกเบี้ย หุ้นจะตกเพราะเงินในระบบจะถูกดูดกลับเข้าคลัง
แต่ว่าทำไมสัปดาห์ที่ผ่านมา แบงค์ชาติประการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.75% เป็น 2% ทำไมหุ้นขึ้น
สงสัยกันมั๊ย... ผมก็สงสัย
นักเศรษฐศาสตร์ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับนโยบายที่แบงค์ชาติได้ออกมาว่า เพราะดอกเบี้ยที่ขยับขึ้นเป็น 2% นั้นยังถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรกับอัตราผลตอบแทนในตลาดหุ้นก็ยังมีส่วนต่างกันอยู่ค่อยข้างมาก อีกทั้งยังมองกันว่าหุ้นไทยยังไปได้อีกไกล
เนื่องจากเงินจะไหลเข้ามาเอเชียอีกเยอะ ซึ่งจะเข้าไปทั้งตลาดพันธบัตร ตลาดหุ้น อสังหาและสินทรัพย์อื่นๆ
แต่ถ้าหากดอกเบี้ยนโยบายสูงกว่านี้ แล้วแบงค์ชาติปรับขึ้นจะทำให้ผลตอบแทนในตลาดในตลาดพันธบัตรซึ่งความเสี่ยงต่ำมาก มีผลตอบแทนต่างกับตลาดหุ้นไม่มากนักแต่มีความเสี่ยงสูงกว่ามาก
ถ้าเป็นกรณีเช่นนี้จะทำให้เงินทุนไหลไปตลาดพันธบัตรหุ้นก็ตกซิครับ(สมมติว่ามีเงินก้อนเดียว แล้วโยกไปที่ๆ ให้ผลตอบแทนสูงกว่านะครับ)
ดังนั้นถ้าดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำอย่างนี้
เชื่อว่าเงินต้องไหลมากตลาดหุ้นอีกแน่นอนครับ ขั้นต่อไปก็คือหาหุ้นดีๆ เก็บไว้แล้ว Let’s profit run
Chula InvestClub
http://www.facebook.com/pages/Chula-...59973474044837
วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันนี้คุณลงทุนแนวไหน
นักลงทุนหลายคนเข้ามาลงทุนโดยมองว่าตลาดหุ้นจะสามารถสร้างกำไรให้ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ก็เห็นเค้ารวยจากตลาดหุ้นกันเยอะแยะ
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นเข้าสู่ช่วงกระทิง(Bullish)เป็นเวลานาน เป็นปีขึ้นไป คนส่วนใหญ่ที่ซื้อหุ้นมักจะได้กำไรครับ
อาจจะมากน้อยก็แล้วแต่คน แต่มีคนอยู่เพียงไม่กี่คนที่รู้ว่ากลยุทธของตัวเองคืออะไร เล่นสั้น เล่นยาว ดูกราฟเทคนิคัล หรือดูพื้นฐานของกิจการ
จากสถิติมีเพียงคนที่รู้เป้าหมายการลงทุนของตัวเองจะประสบความสำเร็จ
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้นจะเลือกแนวทางการลงทุนพื้นฐานของตัวเองอย่างชัดเจน ไม่เปลี่ยนแนวทางของตัวเองบ่อย เชื่อมันในวิธีของตัวเอง
อาจจะไม่ได้ให้กำไรสูงสุดในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้วได้ผลตอบแทนอย่างมหัศจรรย์
ตัวอย่างของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
แนวพื้นฐานก็จะมี บัฟเฟต เชื่อว่าทุกคนรู้จักชื่อนี้ดี ได้อ่านหนังสือมาหลายเล่มเกี่ยวกับแนวคิดของบัฟเฟตแต่ผมเชื่อว่าน้อยคนนักที่จะอดทนรอได้อย่างบัฟเฟต เพราะการลงทุนแนวนี้มันน่าเบื่อจริงๆ (ที่ทำไม่ได้เพราะ คันไม่คันมือ อยากเสียตัง ฮ่าๆ) ถ้าในเมืองไทยก็คงหนีไม่พ้น ดร.นิเวศ เวลาเพียงสิบกว่าปีหลังจากที่ ดร. ได้ลงทุน ก็พิสูจน์แล้วครับว่าแนวทางนี้มันได้ผลจริงๆ (สิบปีอาจจะไม่นานครับถ้าผลตอบแทนที่ได้มันมหาศาลขนาดนี้)
ส่วนแนวทางเทคนิคนั้น แนวนี้คนที่ประสบความสำเร็จอาจไม่ดังเท่าบัฟเฟตแต่ก็มีหลายคนครับ จอร์จ โซรอส , Ray Barros, William Eckhardt มีอีกหลายคนครับ ลองหาให้กูเกิ้ลดูได้ เสิร์จคำว่า Trader
ดังนั้น ถ้าคิดจะลงทุนอย่างจริงจัง จะรวยจากตลาดหุ้น ต้องชัดเจน...
ถ้ายังไม่รู้ก็ลองเอาเงินมาลงทุนจริงครับ ว่าได้รู้ว่าใจของเราเนี่ยมันเต้นขนาดไหนเวลาที่เห็นเงินในพอร์ตเขียวๆ แดงๆ
เมื่อชัดแล้วก็จัดไปเลยแนวที่ตัวเองเลือก ทำการบ้านให้หนัก อ่าน อ่านๆ เข้าสัมนา
รับรอง ได้ตังชัว ช้าเร็วค่อยว่ากัน เพราะตลาดไม่หนีไปไหนแต่เงินมันพร้อมที่จะไปอยู่ในมือของคนที่เก่งกว่า เร็วกว่า และคนที่รู้วิธี...
Chula InvestClub
วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Just Move in Trend
Just move in trend
การเทรดตามระบบนั้นสิ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่งคือการรักษาวินัยและจิตใจให้เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้
เพราะหลายครั้งเวลาที่สัญญาณเกิดผิดพลาด จะทำให้เราเกิดความไม่มั่นใจในระบบเทรด
ทั้งๆ ที่ได้ทำการทดสอบย้อนหลังแล้วว่าระบบเทรดนั้น ได้ให้ผลตอบแทนที่ดีระดับหนึ่งตามแต่ละเทคนิคของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่ใช้และความเสี่ยงที่กำหนด
โดยปกติยิ่งผลตอบแทนที่เราต้องการมากขึ้น ความเสี่ยงที่เราต้องรับไว้ก็จะยิ่งมากขึ้น
ตามหลักที่ว่า High Risk, (very) High Return
คงมีหลายคนเกิดคำถามต่อไปว่าแล้วถ้าไม่ลงทุนจะเสี่ยงมั๊ย เอาเงินฝากแบงค์ไว้เฉยๆ มันเสี่ยงมั๊ย
ถ้าดูในรูปตัวเงินหรือ Default Risk มันไม่เสี่ยงครับเพราะว่าเก็บเงินไว้ในแบงค์เงินมันก็คงไม่หายไปไหนอยู่ดี
แต่ถ้ามองในด้านมูลค่ามันลดลง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่มูลค่าเงินยิ่งลดลง(Time Value of Money)
กลับมาที่เรื่องการเทรดตามระบบ จากคำที่ว่า Just Move in Trend
เทรดเดอร์หรือนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกจะคน จะต้องมองในภาพใหญ่ของตลาดให้ออกก่อนว่าในช่วงเวลาที่ทำการเทรดนั้นตลาดมันกำลังไปทางไหน
Up-trend , Dow-trend , Side-way
จากนั้นจึงจะเลือกกลยุทธ์ในการเทรดในแต่ละช่วงให้เหมาะสมกับอารมณ์ของตลาด
อย่าไปพยายามสวนเทรน ถึงแม้มันจะได้กำไร แต่โอกาสที่ผิดพลาดมันก็สูงเช่นเดียวกัน
กฎข้อที่สำคัญข้อหนึ่งของนักเก็งกำไรก็คือ เมื่อรู้ว่าผิดทางต้อง cut lose ครับ
เทรดเดอร์เก่งๆ มักจะเป็นพวกที่คัทเก่ง อาจจะเทรดไม่ได้กำไรต่อไม้สูงที่สุด แต่คนพวกนี้เสียน้อยมากทำให้ยิ่งเวลาผ่านไปพอร์ตยิ่งโต
ลองดู set ในภาพใหญ่ว่าไปทางไหน
ลองลากเส้นดูนะครับ ตลาดมันมี Up-trend , Dow-trend , Side-way จริงๆ
คำถามที่สำคัญคือ แล้วตอนนี้ พรุ่งนี้ มันจะเป็นยังไง
วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วิธีการเลือกหุ้น "ยั่งยืน"อย่างง่ายๆ
วิธีการเลือกหุ้น "ดี"อย่างง่ายๆ
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าการเล่นหุ้นแบบVIหรือValue investerผู้ลงทุนจะลงทุนโดยเน้นการลงทุนระยะยาว
เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีพื้นฐานที่ดีและยั่งยืน(ดีต่อเนื่องกันเป็นเวลาอย่างน้อย5ปี)
โดยจะเข้าไปซื้อหุ้นตั่งแต่ตอนที่ธุรกิจยังไม่ได้เป็นจุดสนใจของนักวิเคราะห์ทั่วไปทำให้ยังมีราคาเทียบกับกำไรต่อหุ้น(PE)ต่ำหรือเหมาะสมและถือไว้เป็นเวลานานจนราคาของหุ้นตัวนั้นเป็นที่สนใจของตลาดและราคาขึ้นไปสูง
คำถามก็คือแล้วมือใหม่อย่างเราจะเริ่มที่หุ้นตัวไหนและจุดไหน?
เริ่มง่ายๆจากการวิเคราะห์ธุรกิจแบบลวกๆก่อน หากจะให้ได้เปรียบในการลงทุน ธุรกิจที่เราควรลงทุนต้องมีลักษณะง่ายๆคือ
1.ผลิตสินค้าเฉพาะ
2.ให้บริการที่เฉพาะ
3.เป็นผู้ซื้อหรือขายสินค้าหรือบริการที่เป็นที่ต้องการในราคาถูก
ยกตัวอย่างง่าย เครื่องดื่มโค๊ก มันเป็นสินค้าที่อยู่ในใจของผู้บริโภคไปแล้วและมันเป็นไปได้ยากที่ผู้บริโภคจะลืมมัน หรือจะเป็น เทสโก้ ที่สามารถรับสินค้าจำนวนมากได้ในราคาที่ถูกสุดๆและก็สามารถขายลูกค้าจำนวนมากได้ในราคาถูก
นั้นคือการวิเคราะห์ธุรกิจอย่างคล่าวๆว่าน่าลงทุนหรือไม่
และถ้าหากมันเป็นธุรกิจที่น่าสนใจเราก็เข้ามาในขั้นตอนการวิเคราะห์ที่ถือว่าเป็นหัวใจหลักของVIนั้นก็คือ การวิเคราะห์งบการเงิน
"Men read play boy. I read annual report"
งบที่ถูกนักวิเคราะห์ใช้กันเป็นประจำเลยคงหนีไม่พ้น งบกำไรขาดทุน งบดุล และ งบกระแสเงินสด
งบกำไรขาดทุน
ยอดขาย 100
ต้นทุนขาย 40
กำไรขั้นต้น 60
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
ขาย ทั่วไป บริหาร 20
วิจัยและพัฒณา 10
กำไรจากการดำเนินงาน 30
สิ่งแรกที่พบในงบการเงินก็คือ ยอดขายเป็นตัวบอกว่าธุรกิจมีรายได้มากขนาดไหนแต่นั้นยังไม่ถือเป็นจุดสำคัญของยอดขายแต่สิ่งที่สำคัญของมันนั้นคือการเปรียบเทียบยอดขาย5ปีล่าสุดถ้าหากตัวเลขสม่ำเสมอจะถือได้ว่ามีความยั่งยืน หากสภาพเศรษฐกิจแย่รายได้ก็ไม่ได้ตกไปจากนี้มาก
สิ่งต่อมาก็คือ ต้นทุนขาย ที่นำมาหักออกจาก ยอดขาด นั้นคือ กำไรขั้นต้น แต่จุดสำคัญในจุดนี้่นั่นคือ ส่วนต่างกำไรขั้นต้น(กำไรขั้นต้น/ยอดขาย*100) ถ้าหากส่วนต่างกำไรขั้นต้น % มีค่ามากจะถือว่า ดี นั้นหมายถึง ธุรกิจนี้มีสินค้าหรือบริการที่เฉพาะเนื่องจาก การแข่งขั้นต่ำดูได้จากธุรกิจสามารถตั่งราคาให้สูงกว่าต้นทุนได้มาก (60%)
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ขาย ทั่วไป บริการ หากมีอัตราส่วน เทียบกับกำไรขั้นต้น หากได้สัดส่วนต่ำถือว่าดี เพราะถ้าสูงจนกระทั้งเกือบ100%นั้นหมายความว่า ค่าใช้จ่ายมันมากเกือบเท่ากำไรขั้นต้นที่เรามี เพราะในความเป็นจริงค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ธุรกิจต้องจ่ายอยู่แล้วไม่ว่าจะขายสินค้าได้มากหรือน้อย เพราะฉะนั้นถ้าหากเศรษฐกิจไม่ดีนั้นหมายความว่ากำไรจะลดลงจนอาจจะติดลบได้(20/60)*100=33.33%
ตอนนี้เราได้ธุรกิจที่ ดูเหมือนจะสวยหรูแต่บางธุรกิจที่สวยหรูที่เราคิดนั้นอาจจะกลายเป็นธุรกิจที่ไม่คุ้มค่าแก่การลงทุนไปทันที่หากมันมีค่าวิจัยและพัฒนาสูง คิดง่ายๆ ธุรกิจที่ต้องวิจัยตลอดเวลาเช่น คอมพิวเตอร์ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นสัดส่วนจากกำไรขั้นต้นเป็นจำนวนมากไปกับการวิจัยและพัฒนา แต่ถ้าหากเค้าไม่พัฒนา เครื่องคอมของเขาก็จะล้าหลังภายใน2ปี เพราะฉะนั้น บริษัทที่ มีค่าวิจัยสูงๆถือเป็นธุรกิจที่ไม่น่าลงทุนเพราะในระยะยาวธุรกิจแบบนี้จะเสียเปรียบแน่นอน
ก็ประมาณนี้ละกันนะคับ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบ
ผมเองก็มือใหม่ยังไงอ่านแล้วก็รบกวนติชมหน่อยละกันนะคับจะได้พัฒนากันต่อไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)